ผ่าประเด็นร้อน
ได้เห็นข่าวต่างประเทศชิ้นหนึ่ง ระบุถึงกำหนดการของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งได้ครองอำนาจในทำเนียบขาวต่ออีก 4 ปี ว่าในวันที่ 18 พฤศจิกายน เขาจะเดินทางไปที่กรุงพนมเปญของกัมพูชา เพื่อร่วมสุดยอดผู้นำอาเซียนซึ่งเป็นการประชุมร่วมกับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจชั้นนำของโลก เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เป็นต้น และหลังจากนั้น โอบามาก็มีกำหนดการเดินทางไปเยือนประเทศพม่าในวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดีเต็ง เส่งของพม่า และผู้นำฝ่ายค้าน คือ อองซานซูจี
ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ว่า โอบามาอาจเดินทางมาเยือนไทยในช่วงสั้นๆ ในคราวเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์และผลประโยชน์ระหว่างไทย-สหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โอกาสที่เขาจะเดินมาไทยก็เป็นไปได้สูงไม่น้อย โดยเฉพาะหากพิจารณาจากกรณีของการใช้ “สนามบินอู่ตะเภา” ก่อนหน้านี้
เพราะหากพิจารณายุทธศาสตร์ของสหรัฐที่กำลังหันกลับมาสู่เอเซีย เพื่อผลประโยชน์และคานอำนาจกับจีน โดยกำลังใช้ไทยเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ขณะเดียวกันยังเปิดเกมรุกเข้าไปยังพม่าที่กำลังเปิดประเทศ และมีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล อีกทั้งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์อีกด้วย
ประเด็นดังกล่าวพอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วใช่หรือไม่ว่า ทั้ง เขมร ไทย พม่า และภูมิภาคเอเชีย ล้วนมีความสำคัญกับสหรัฐอเมริกาเพียงใด เพราะมีผลประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ที่เปิดช่องให้บริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนได้อย่างสะดวก
ขณะเดียวกัน เมื่อได้เห็นกำหนดการดังกล่าว และมาปะติดปะต่อกับเส้นทางของ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่ในแถบประเทศเอเซียแบบจดๆจ้องๆอยู่พอดี มันก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก หากพิจารณาและเข้าใจกันว่าบทบาทของเขาในเวลานี้ทำตัวไม่ต่างจากเจ้าของรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่สามารถสั่งการกำหนดทิศทางได้ทุกเรื่องตามที่ประกาศคุยโม้เน้นย้ำกับสื่อต่างประเทศเมื่อเร็วๆ นี้อีกครั้ง
อีกทั้งเมื่อมาพิจารณาถึงกำหนดการเยือนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับบทบาทของ ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “นายหน้าข้ามชาติ” ทุกอย่างถือว่าลงตัวเป๊ะ ไม่ว่าจะเป็น ไทย เขมร และพม่า ล้วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจการลงทุนของบริษัทข้ามชาติมูลค่ามหาศาลทั้งสิ้น
สำหรับสหรัฐฯ กับไทย ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยของทักษิณ สามารถย้อนกลับไปพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจนเรียกได้ว่าแนบแน่นผิดปกติ เริ่มตั้งแต่การอนุมัติให้วีซ่าเข้าประเทศอีกครั้ง ซึ่งก็เหมือนกับเป็นใบเบิกทางในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ระหว่างประเทศหลังจากโดนแช่แข็งจากคดีทุจริตมานาน อย่างไรก็ดีการไฟเขียวให้วีซ่าดังกล่าวมันก็ถูกมองว่านี่คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในฐานะที่ ทักษิณ เป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการลงทุนในธุรกิจพลังงานผ่านทางบริษัท “เชฟรอน” ทั้งในเขมร และพม่า หรือแม้แต่การขอใช้สนามบินอู่ตะเภาล้วนแล้วถูกมองว่าเป็นการเชื่อมโยงระหว่างกันทั้งสิ้น
แน่นอนว่าในวาระสำคัญพิเศษดังกล่าว เชื่อได้ว่า ทักษิณ ก็ต้องการโชว์พาวเวอร์ให้สมราคา อย่างน้อยก็ในฐานะ “นายหน้า” ก็ต้องแสดงให้สมบทบาท ขณะเดียวกันนี่คือโอกาสทอง เพราะหากไล่เรียงกำหนดการทั้งของ เขาที่วนเวียนป้วนเปี้ยนกันในประเทศแถบนี้สอดคล้องต้องกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเริ่มจากวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่รองประธานาธิบดีพม่า “ญาณ ทุน” เข้าพบกับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อลงนามในการพัฒนาพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาในวันรุ่งขึ้นคือ 8 พฤศจิกายน ทักษิณ ก็เข้าพบกับประธานาธิบดีเต็งเส่งที่กรุงเนปิดอว์ นอกเหนือจากนี้ในราว “ปลายเดือน” เดียวกันประมาณวันที่ 25 พฤศจิกายน มีข่าวว่าเขาก็ยังมีกำหนดการอยู่ที่เขมรต่อไป ซึ่งเป็นกำหนดการต่อเนื่องหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับผู้นำประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่วันที่ 18-20 พฤศจิกายนดังกล่าว
เพราะหากพิจารณาจากวาระที่กำหนดออกมา ที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นไทย พม่าและเขมรและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ผ่านทางบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แล้วถือว่านี่คือวาระสำคัญยิ่งยวดสำหรับคนอย่างเขา
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ในช่วงเวลานี้ไปจนถึงสิ้นเดือน เราจะได้เห็นความเคลื่อนไหว ของทักษิณ ทั้งในแบบเฉพาะตัว และการแอบแฝงออกมาเป็นข่าวในลักษณะชักใย “น้องสาว” ของตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะนี่คือการโชว์พาวเวอร์ ในฐานะ “นายหน้า” และผู้กำหนดเกมยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค และเมื่อกำลังมีงานใหญ่ มีแต่เรื่องผลประโยชน์มหาศาลมีหรือคนอย่างเขาจะพลาดโอกาสสำคัญ