ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าอยู่ในความรู้สึกแบบตลก แต่ดันขำไม่ออก กับข่าวคราวเรื่องการลอบสังหาร ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่มีกำหนดการไปที่ท่าขี้เหล็ก ชายแดนพม่าฝั่งตรงข้ามกับอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายในตอนเย็นวันที่ 9 พฤศจิกายน ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน หลังจากทางการพม่ามีการจับกุมชนกลุ่มน้อยชาวไทยใหญ่พร้อมอาวุธสงครามประเภทอาร์พีจี และอาวุธสงครามอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่พม่าได้ระบุว่าเป็นการจับกุมนักค้าอาวุธสงครามในดินแดนชนกลุ่มน้อย อีกทั้งอาวุธดังกล่าวก็เป็นแค่สินค้าตัวอย่างที่นำมาจากฝั่งไทย ก่อนมีการพิจารณาสั่งซื้อกันต่อไป
เรื่องราวก็มีอยู่เท่านี้ แต่คนที่นำมาขยายความเป็นตุเป็นตะก็คือ “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูชายของ ทักษิณ ที่โพสต์ข้อความต่อเนื่องกันถึงสองวันซ้อน ว่าได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ด้านการข่าวว่า “มีขบวนการลอบสังหาร” พ่อของเขาระหว่างที่เดินทางไปที่นั่น คือ ที่ท่าขี้เหล็ก โดยโยงจากการจับกุมดังกล่าว รวมทั้งฟื้นฝอยเหตุการณ์เก่าๆขึ้นมาเน้นย้ำกันอีกครั้ง เพื่อเน้นย้ำให้เชื่อคล้อยตามว่า พ่อของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
แน่นอนว่าข่าวดังกล่าวสามารถช่วงชิงพื้นที่สื่อได้ตามต้องการ มีการนำมาพาดหัวนำเสนอกันอย่างครึกโครม แต่ขณะเดียวกันเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งก็คือ อีกมุมหนึ่งถูกมองเป็นเรื่องตลกขบขัน เห็นว่าเป็นการ “กุข่าว” โดยคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จากเด็กเมื่อวานซืน ที่มีประวัติไม่เอาไหนคนหนึ่งเท่านั้นเอง
กลายเป็นว่าข้อมูลของ พานทองแท้ คนในสังคมที่รู้ทันมองว่านี่คือ การกุข่าว ตบตา ไม่ต่างจากละครน้ำเน่า ที่เขียนบทห่วย ไม่ลงทุน จึงน่ารำคาญ เพราะหากพิจารณาจากกำหนดการของ ทักษิณ ก่อนหน้านั้นล้วนแล้วแต่น่าติดตามทั้งสิ้น นั่นคือวันที่ 8 พฤศจิกายน เข้าพบกับ ประธานาธิบดีเต็งเส่งของพม่า ถัดมาวันรุ่งขึ้นก็มีคิวพบกับนักธุรกิจพม่าในกรุงเนปิดอว์ ซึ่งนี่ต่างหากที่ถูกมองว่าเป็นเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญของเขา ในฐานะบทบาท “นายหน้าข้ามชาติ” หลังจากพม่าเปิดประเทศเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามลงทุนแบบไม่อั้น
อีกทั้งที่ที่น่าจับตาประกอบกันไปด้วยก็คือก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวัน คือวันที่ 7 พฤศจิกายน รองประธานาธิบดีพม่า “ญาณ ทุน” ก็เข้าพบหารือกับ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ทำเนียบรัฐบาล ทุกอย่างมันเชื่อมโยงติดต่อกันจนผิดสังเกต จังหวะเวลาสอดรับกันอย่างตัว
ขณะเดียวกันหากพิจารณากันถึงสาเหตุที่บอกว่าทำไม ทักษิณ ถึงไม่อยากไปท่าขี้เหล็ก ซึ่งความหมายตรงๆก็คือไม่อยากพบกับคนเสื้อแดงแล้ว เพราะนอกจากไม่มีประโยชน์ น่ารำคาญ ไหนจะต้องตอบคำถาม ต้องรับปากเรื่องตำแหน่งของคนนั้นคนนี้ และที่สำคัญมันไม่ใช่เป้าหมายหลักในการเดินทางมาพม่า เพราะเป้าหมายที่แท้จริงก็คือผลประโยชน์จากการเจรจาตกลงทางธุรกิจที่กรุงเนปิดอว์กับเต็งเส่งมากกว่า แต่ครั้นจู่ๆไม่มาพบเอาดื้อๆมันก็กระไรอยู่ ดังนั้นไม่มีอะไรเข้าท่าไปกว่าการ “แหกตา” เรื่อง “แผนลอบสังหาร” และที่ผ่านมาก็ยังใช้ได้ผลอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มีคนหลงเชื่ออยู่ไม่น้อย ซึ่งคราวนี้ก็ใช้วิธีปล่อยผ่านทางเฟซบุ๊กส์ของ พานทองแท้ แอบอ้างเรื่องดังกล่าวเป็นตุเป็นตะ
อย่างไรก็ดีน่าแปลกใจก็คือทำไมถึงไม่เตี๊ยมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงให้เข้าใจไปในทางเดียวกันเสียก่อน จะได้สมเหตุสมผลและแนบเนียนมากกว่านี้ จะได้ไม่ต้องขัดขา และอาจทำให้ขัดใจและ “เสียหน้า” กันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
การออกมาแสดงท่าทางไม่สบอารมณ์กับการให้สัมภาษณ์แบบไม่ไปในทิศทางเดียวกันของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรทัต กรณีการจับกุมนักค้าอาวุธสงครามดังกล่าว ว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องลอบสังหาร ทักษิณ และย้ำว่าไม่มีเรื่องแบบนี้
แต่ที่น่าจับตาก็คือ การโพสต์ข้อความล่าสุดของ พานทองแท้ โดยอ้างความรู้ด้านการทหาร ด้านข่าวกรอง ระดับนักเรียน รด.3 ปี สอนมวยระดับ พลเอก ที่เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำกับดูแลสามเหล่าทัพ จนทำให้หลายคนเกิดตั้งคำถามตามมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้ ทำไมถึงได้ผิดเพี้ยนมั่วซั่วได้ถึงเพียงนี้ เพราะกลายเป็นว่า “เด็กเมื่อวานซืน” อย่างโอ๊ก พานทองแท้มีฐานะอะไรถึงได้ออกมาบริภาษ มาก้าวก่ายแทรกแซงงานทางด้านความมั่นคง แม้ว่า ในความเป็นจริง ในความหมาย “ลูกชายเจ้าของบริษัท” ที่หากต้องการตำหนิลูกน้องของพ่อก็สามารถชี้หน้าด่าทอที่ไหนก็ได้ แต่ในเมื่อนี่คือ ตำแหน่งเสนาบดี เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มันสมควรแล้วหรือที่จะแสดงกิริยาอย่างที่เห็น
นอกจากเป็นการไม่ให้เกียรติแล้ว ยังเป็นการเหยียบหยามคนที่เป็นรัฐมนตรีโดยเด็กเมื่อวานซืน ที่ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งหนอย่างเป็นทางการเมืองใดๆ แถมยังริแสดงอวดรู้อย่างน่าขันออกมาให้เห็น เพียงเพื่อต้องการบังคับให้มีความเห็นไปในทางเดียวกันตัวเอง หวังผลทางการเมืองอย่างบิดเบี้ยว
มันน่าอนาถใจนัก ที่บ้านเมืองเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ !!