xs
xsm
sm
md
lg

มะกันมาจุ้นเอเชีย เห็นทีอนาคตไทยอยู่ไม่เป็นสุขแน่!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

กว่าจะถึงวันนัดหมายขับไล่รัฐบาล “ห่วยแตก” นักประชาธิปไตยจอมปลอม ยกย่องโจร ยกผู้ก่อการร้ายเป็นวีรบุรุษ ที่กำหนดกันเอาไว้วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน นับจากวันนี้ (15 พฤศจิกายน) ก็ยังมีเวลาอีกนานนับสัปดาห์ ดังนั้นจึงนำเอาเรื่องอื่นมาคั่นรายการเฉพาะหน้าก่อน

โดยเฉพาะการหันหัวเรือกลับเข้ามายังย่านเอเชียแปซิฟิกอีกครั้งของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมกระทบกระเทือนมาถึงประเทศไทยของเราอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งมาเจอกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังทำตัวเป็น “คนรับใช้” อาสาเป็น “นายหน้า” เจรจาต่อรองผลประโยชน์ในภูมิภาค อย่างกระตือรือร้น มันก็ยิ่งน่าเป็นห่วง

น่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้นอีกก็คือ ในผลประโยชน์ที่ว่านั้นแทบจะไม่มาตกถึงคนไทยทั่วไปแล้ว ตรงกันข้ามยังเสี่ยงต่อการ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” เสียอีก

หากพิจารณาจากตารางเวลาที่เปิดเผยออกมาจะเห็นว่าระดับบิ๊กของสหรัฐอเมริกากำลังดาหน้ามาเหยียบประเทศไทยกันเป็นว่าเล่น เริ่มจากก่อนหน้านี้ไม่นานหากย้อนกลับไปพลิกดูข่าวเก่าเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน วันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา “พล.ร.อ.แซม เจ. ล็อกเคลียร์ ที่ 3” ผู้บัญชาการกองเรือแปซิฟิกสหรัฐฯ ก็ได้เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไทย โดยกำหนดการเดินทางมาเยือนดังกล่าวในคราวนั้นเป็นไปค่อนข้างปิดลับและเงียบเชียบ โดยสื่อต่างประเทศรายงานระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นการเดินทางเข้ามาเพื่อนำร่องสำหรับความพยายามกลับเข้ามาในภูมิภาคเอเซียอีกครั้งของสหรัฐฯ เพื่อคานอำนาจกับจีน

ถัดมาวันที่ 15 พฤศจิกายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เลียน เพเนตตา ก็เดินทางมาเยือนไทยเพื่อเจรจาลงนามทางด้าน “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาค” ซึ่งสื่อต่างประเทศระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการใช้ท่าเรือและฐานทัพอากาศของไทยสำหรับการส่งกำลัง โดยทั้งสองฝ่ายคือรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จะลงนามกับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย

น่าสังเกตก็คือ ก่อนการเดินทางมาไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เขาได้เดินทางไปเยือนออสเตรเลียและได้ลงนามข้อตกลงด้านยุทธศาสตร์ มีการลงนามข้อตกลงใช้ออสเตรเลียเป็นฐานติดตั้งระบบเรดาร์และกล้องโทรทรรศน์อวกาศประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะสามารถตรวจตราความเคลื่อนไหวในชั้นบรรยากาศระดับสูงได้ทั่วเอเชีย โดยก่อนหน้านั้นสหรัฐฯ ก็ได้วางกำลังทหารในฐานทัพแห่งใหม่ออสเตรเลียเรียบร้อยแล้ว

เมื่อพิจารณาจากหัวข้อเจรจาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เป็นรายทางแล้วทำให้เห็นว่าการเดินทางมาไทยคราวนี้หัวข้อหลักในการเจรจากับฝ่ายไทยย่อมต้องมีเรื่องทางยุทธศาสตร์และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะเรื่องการใช้ฐานทัพ หรือแม้แต่การใช้สนามบินอู่ตะเภาของไทยแน่นอน

วันที่ 17 พฤศจิกายน นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็มาเยือนไทย ก่อนหน้าหนึ่งวันก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา จะมาถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน ก่อนข้ามไปพม่าและไปกรุงพนมเปญของกัมพูชาเพื่อร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกต่อไป

พิจารณาจากตารางการเดินทางและหัวข้อการเจรจาของระดับ “ขาใหญ่” สหรัฐฯที่เดินทางมาไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในช่วงเวลาใกล้เคียงกันถือว่าไม่ธรรมดา และสุ่มเสี่ยงกับไทยเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอยู่ในภาวะท่ามกลาง “เขาควาย” เพราะหากไม่รักษาความสมดุลเอนเอียงเข้าหามหาอำนาจฝ่ายใดมากเกินไปจน “เสียความสมดุล” กับจีนมันก็มีแต่ความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการแลกเปลี่ยน “ผลประโยชน์เฉพาะตัว” เท่านั้น

แน่นอนว่าวาระการหรือทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นความลับสุดยอด แต่ขณะเดียวกันมันก็มีเรื่องเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินจนได้ เมื่อมีสื่อต่างประเทศได้เปิดเผยออกมาเองว่าความเคลื่อนไหวชักนำสหรัฐฯ เข้ามานั้นส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการ “อาสา” ของฝ่ายไทยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรุกคืบเข้าไปยังพม่า รวมทั้งการเปิดไฟเขียวให้พม่าส่งกำลังทหารเข้ามาร่วมฝึก “คอบร้าโกลด์” ในปีหน้าก็ล้วนแล้วแต่มาจากการเสนอแนะนำจากฝ่ายรัฐบาลไทยทั้งสิ้น

นั่นคือความเคลื่อนไหวในภาพรวม ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ มีความต้องการกลับเข้ามามีอิทธิพลนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกครั้งเพื่อคานอำนาจกับจีน และเป้าหมายก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเอเซียมีความสำคัญมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ซึ่งจะช่วยฉุดดึงให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ พ้นจากหายนะได้ อีกทั้งเอเซียยังมีทรัพยากรธรรมชาติอีกมากมายที่รอให้สหรัฐฯ เข้าไป “สูบ” เหมือนกับที่เวลานี้กำลังจะเข้าไป “ทึ้ง” ในพม่าและกัมพูชา

แต่ในรายละเอียดในภาพย่อยๆ กลับมองเห็นการรับอาสา ทำตัวเป็น “นายหน้า” ทำตัวเป็น “คนใช้” ของคนไทยบางคน ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็ย่อมมีชื่อของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวละครสำคัญ เพราะหากพูดถึงรัฐบาลไทยก็ต้องหมายถึงเขา ทุกฝ่ายรับรู้กันไปทั่วอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีภาพที่ออกมาล้วนเป็น “ผลประโยชน์เฉพาะตัว” ที่นำยุทธศาสตร์ของบ้านเมืองไปแลกเปลี่ยน เป็นผลประโยชน์จากธุรกิจข้ามชาติ ทั้งในด้านพลังงานและการลงทุนในท่าเรือน้ำลึกทวาย ฯลฯ

ดังนั้นการรุกคืบเข้ามาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา เพื่อคานอำนาจกับจีน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันในฐานะที่ไทยมีที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญกลับมีรัฐบาลที่มีความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่ากำลังถูกชักนำไปใช้ในการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจเฉพาะกลุ่ม เฉพาะครอบครัวเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งกำลังทำให้เสียความสมดุลกับประเทศเพื่อนบ้านกับจีน ทำนอง “ชักศึกเข้าบ้าน” ได้ไม่คุ้มเสีย นำบ้านเมืองไปเสี่ยงหรือไม่!!

กำลังโหลดความคิดเห็น