หน.ปชป.เผยไม่คาดหวัง ครม.ยิ่งลักษณ์ 1/3 เปลี่ยนยังไงก็ไร้ประโยชน์ กังขาปลด “ยุทธศักดิ์” หวั่นแก้ไฟใต้ไม่ต่อเนื่อง ศูนย์เพนตากอน 2 ก็ไม่มีอะไรรูปธรรม เมินข่าว “ก่อแก้ว” กุข่าวไปพบอดีต ส.ส.เจ้าของคอกม้าที่นครปฐมเอี่ยวม็อบ เสธ.อ้าย บอกไร้สาระ เหน็บตัวเองคงทำสมัยฝ่ายค้าน จี้รัฐบาลตั้งสติฟังความเห็น สานต่อ คอป.สร้างปรองดอง
วันนี้ (29 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราาฎร กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งใหม่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าคงไม่คาดหวังอะไรและไม่คิดว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นเพียงการสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งภายในมากกว่า สิ่งที่สำคัญคือทิศทางการตั้งหลักเพื่อเผชิญปัญหาที่ท้าทายประเทศอย่างเรื่องเศรษฐกิจ และนโยบายสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบ อาทิ เรื่องการจำนำข้าว ค่าแรง การจัดการกับภัยพิบัติ ซึ่งการวางแนวทางเช่นนี้ย่อมดีกว่าการเร่งประมูลโครงการขนาดใหญ่ ที่ยังไม่เห็นมีแนวคิดอะไรที่ชัดเจน แตกต่าง หากการปรับ ครม.ใหม่แต่นโยบายยังเหมือนเดิม ไม่ดูภาพรวมประโยชน์ส่วนร่วม ก็คงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ส่วนแนวโน้มการแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาล ภายหลังการปรับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ซึ่งเคยรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคใต้ พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีความเป็นห่วงในความไม่ต่อเนื่องบางนโยบายหรือในการทำงาน และเคยย้ำมาเสมอว่ารัฐบาลนี้ยังขาดความชัดเจนในการทำงาน เวลาเกิดเหตุขึ้นตนมักจะประสานข้อมูลไปที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เพราะท่านก็เป็นบุคคลที่มีความจริงจังในการทำงาน และเมื่อครั้งที่คณะฝ่ายค้านได้หารือกับรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านปัญหาภาคใต้ ก็ได้เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีได้มีการมอบหมายให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์เป็นผู้รับผิดชอบงานหลัก แต่กลายเป็นว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ถูกปรับออกไปอีก ทั้งนี้จึงต้องรอติดตามว่าใครจะมารับหน้าที่แทน เพราะรองนายกรัฐมนตรีที่เคยรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงมีเพียง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เพียงคนเดียวที่ยังอยู่
เมื่อถามถึงศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ที่ ร.ต.อ.เฉลิม เรียกว่า แพนทากอน 2 และขาดหวังจะบูรณาการปัญหาภาคใต้ได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม และสถานการณ์ในพื้นที่ยังมีปัญหาอยู่ ตนได้ติดตามในเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายและความเคลื่อนไหวก็ยังไม่เห็นความชัดเจน การปรับคณะรัฐมนตรีในจึงยืนยันไม่มีอะไรแสดงถึงการเอางานเป็นตัวตั้ง
เมื่อถามถึงการปรับ ครม.จะส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะมีการปรับในเรื่องรูปแบบการอภิปรายนิดหน่อย เพราะบางเรื่องที่จะอภิปรายมีความเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีหลายคน อย่างไรก็ตาม คาดว่าในวันที่ 30 ต.ค.ที่ประชุมวิปฝ่ายค้านจะสามารถสรุปรูปแบบที่เหมาะสมได้ เมื่อถามว่ารัฐมนตรีที่ถูกปรับออกไปแล้วใครจะรับผิดชอบแทน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญก็ต้องเป็นคนเดิม อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์พร้อมสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้
นายอภิสิทธิ์ยังปฏิเสธกรณีนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งอ้างว่าได้รับข้อมูลว่านายอภิสิทธิ์ได้เดินทางไปพบกับอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเจ้าของคอกม้า และมีความสัมพันธ์กับกลุ่มของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) ที่ จ.นครปฐม ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ตนไป จ.นครปฐม 2 ครั้ง คือไปงานทำบุญ และไปงานราตรีสีฟ้าเพื่อปราศรัย ไม่ได้คุยอะไรกับใคร การที่โยงการชุมนุมกับพรรคการเมืองคงเป็นเรื่องที่เอาพวกตัวเองเป็นบรรทัดฐานสมัยเป็นฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดเมื่อมีการชุมนุมที่เกิดขึ้น คือ ในขณะนี้ได้มีความอึดอัดบางประการเกิดขึ้น และประเด็นที่มีการปราศรัยก็ไม่ได้เจาะจงที่รัฐบาลใด เพียงแต่ต้องการที่จะเห็นรัฐบาลทำงานซื่อสัตย์ ปกป้องสถาบันหลักชาติ ดังนั้นรัฐบาลควรตอบโจทย์เรื่องสำคัญตรงนี้ดีกว่าเพื่อไม่ให้มีการชุมนุม
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลต้องตั้งหลักและพิจารณาว่าประเด็นที่มีการปราศรัยคืออะไร และคงไม่ใช่เรื่องเสียหายหากรัฐบาลจะทำตาม ในเรื่องของการป้องกันการทุจริต การทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ทั้งนี้มองว่าการประมาทความรู้สึกของประชาชาชนย่อมไม่เกิดผลดีต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้เกิดการยั่วยุและขัดแย้งมากขึ้น แต่ควรรับฟัง ชี้แจง และทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
เมื่อถามถึงความกังวลหากมีกรณีการนำเอากลุ่มคนเสื้อแดงมาคัดค้านการชุมชุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีความเป็นห่วง และพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลได้เคยมีประวัติในเรื่องเหล่านี้ อย่าให้เกิดความวุ่นวายมากกว่านี้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการปรองดองที่แท้จริงรัฐบาลควรสานงานต่อจากรายงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และต้องหยุดการกุเรื่องที่ขัดแย้ง หยุดการนำมวลชนมาเผชิญหน้ากับมวลชน และหยุดการเสวนาปลอมมาสร้างความชอบธรรม จึงอยากให้ทุกคนระมัดระวัง ทุกคนอยากเห็นความสงบของบ้านเมือง แต่ทุกคนก็ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญได้ ทางออกที่แท้จริงคือทุกคนทำตามหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย