ผู้นำฝ่ายค้านฯ จี้รัฐบาลเอาจริงต่อการทุจริต อย่าเบี่ยงเบนเป็นประเด็นการเมือง เชื่อสังคมไม่คาดหวัง “เฉลิม” ตั้งกรรมการสอบไซฟ่อนเงินแค่หวังผลการเมือง เหตุมีพฤติกรรมส่งสัญญาณชี้นำให้เจ้าหน้าที่เลือกข้าง พร้อมรับ ปชป.เป็นรอง พท. แต่จะสู้ไม่ถ่อย ให้สังคมเห็นนโยบายที่เป็นระบบ คิดถึงอนาคตมากกว่าการแย่งเสนอผลประโยชน์เฉพาะหน้า ระบุ “รัฐบาลปู” อยู่นานยิ่งสะสมปัญหา โดยเฉพาะนโยบายจำนำข้าวปีต่อๆ ไปเห็นความล้มเหลวชัดขึ้น ขอรัฐบาลอย่าหนีไปก่อนก็แล้วกัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี สรุปว่าการไซฟ่อนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทเป็นเรื่องเท็จแต่จะตั้งกรรมการขึ้นมาสอบว่า ใครมีหน้าที่ตรวจสอบก็ทำไปและข้อเท็จจริงต้องปรากฏออกมา รวมทั้งใครที่เสนอข้อมูลก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นเดียวกัน แต่ตนคิดว่ารัฐบาลควรแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังต่อการทุจริตมากกว่าที่จะพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องการเมืองไปหมด เพราะที่ผ่านมาการส่งสัญญาณค่อนข้างชัดว่าเวลาที่มีการนำเสนอเกี่ยวกับการทุจริตรัฐบาลจะปัดก่อนทันที แทนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตนเข้าใจว่า ร.ต.อ.เฉลิมก็คงไม่ได้ตรวจสอบเรื่องทุจริตเท่ากับทำให้เป็นประเด็นทางการเมือง แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็คงไปยื่น ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม ตนไม่คาดหวังต่อสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมกำลังดำเนินการ และไม่คิดว่าสังคมจะได้อะไรจากสิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมทำ ซึ่งตนย้ำหลายครั้งแล้วว่าพฤติกรรมของ ร.ต.อ.เฉลิมที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบหรือกระบวนการยุติธรรม มักจะมีการส่งสัญญาณชี้นำให้เจ้าหน้าที่ต้องเลือกข้างหรือมีธงซึ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลมีควมจริงจังกับการตรวจสอบการทุจริตจริง รัฐบาลควรให้องค์กรอิสระทำจะดีกว่า เพราะถ้ารัฐบาลทำและมีคนในรัฐบาลออกมาตอบโต้กับคนที่ตรวจสอบตลอดเวลาก็คงได้รับความเชื่อถือยาก
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงผลสำรวจความเห็นประชาชนเปรียบเทียบระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ พบว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมน้อยกว่าว่า เป็นเรื่องธรรมดาเพราะทุกพรรคมีจุดแข็งและจุดอ่อน ซึ่งพรรคจะพยายามแก้ไขจุดอ่อนต่อไป โดยเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพูดถึงอนาคตประเทศเป็นหลักเพราะตนไปมาหลายเวทีประชาชนเบื่อหน่ายกับการเมืองที่ยุ่งอยู่กับความขัดแย้ง และการเอาเรื่องผลประโยชน์เฉพาะหน้ามาแลกกับคะแนนเสียง
ส่วนภาพลักษณ์เรื่องการทำงานล่าช้าที่ติดตัวพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นความพยายามของฝ่ายตรงกันข้ามที่มีความเชื่อว่า ถ้านำเสนอซ้ำๆ ก็จะทำให้เกิดภาพที่ติดตัวได้ พรรคก็ต้องทำงานเพื่อลบภาพลักษณ์เหล่านี้ให้ได้ ซึ่งจะต้องทำอย่างเต็มที่ และไม่แปลกใจที่พรรคเพื่อไทยได้รับความนิยมมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคจะเดินหน้าทำงานต่อเนื่องและคิดว่าต่อไปคงต้องแข่งขันโดยให้สังคมเห็นนโยบายที่เป็นระบบ คิดถึงอนาคตมากกว่าการแย่งเสนอผลประโยชน์เฉพาะหน้า
สำหรับคำปรามาสของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้นั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องของ ร.ต.อ.เฉลิม แต่ ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้เป็นคนเลือกตั้ง
ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งว่ามีความเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ซึ่งบางทีก็ต้องใช้เวลา ต่างประเทศก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซึ่งผลจากการบริหารของรัฐบาลกว่า 1 ปีที่ผ่านมา สังคมกล้าตั้งคำถามมากขึ้น ทั้งเรื่องฐานะทางการเงินการคลัง นโยบายที่ทำลายระบบ เช่น กรณีจำนำข้าว และต่อไปเมื่อนโยบายปรากฏความล้มเหลวชัดเจนก็จะป็นบทเรียนสำหรับสังคมในภาพรวมและพรรคการเมืองเกี่ยวกับการเสนอนโยบาย แต่ต้องใช้เวลา รัฐบาลอย่าหนีไปก่อนก็แล้วกันอยู่พิสูจน์นโยบายให้เสร็จสิ้นเลย
ส่วนที่ว่าจะอยู่ 3 สมัยก็ไม่เป็นไรถ้าอยู่แล้วทำประโยชน์ก็ไม่ว่ากัน อย่างไรก็ตาม ภายใน 4 ปีตามวาระการบริหารประเทศของรัฐบาลตนคิดว่าหลายปัญหาจะสะสมมาก โดยเฉพาะกรณีจำนำข้าวตนมั่นใจว่าพอเข้าสู่ปีที่สองปีที่สามจะยิ่งหนักหนาสาหัสมากกว่านี้ เพราะแค่ปีเดียวและยังมีปัญหาน้ำท่วมด้วยยังมีปัญหาในเรื่องการจัดเก็บข้าวแล้ว
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เตรียมที่จะถอดยศตนประมาณเดือนพฤศจิกายนว่า หากมีการทำผิดหรือกลั่นแกล้งตนก็มีสิทธิตามกฎหมายที่จะรักษาสิทธิให้ตัวเอง และการที่ รมว.กลาโหมเลือกเดือนพฤศจิกายนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีผลอะไรต่อการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ แต่คิดว่ารัฐบาลคงคาดหวังที่จะทำลายความน่าเชื่อถือซึ่งต้องดูกันที่ข้อเท็จจริง
ส่วนที่ไปบรรยายว่ามีความฝันว่าจะอยู่ในแวดวงการเมืองอีก 10 ปีนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนพูดมานานแล้วเพียงแต่บอกเป็นปีไม่ได้ เพราะอยากเห็นคนรุ่นต่อๆ ไปมีความพร้อมที่จะมารับช่วงต่อ ซึ่งทางเอแบคโพลล์ก็ไปสำรวจความเห็นมาคนในพรรคหลายคนก็มีความพร้อม ทั้งนี้ตนเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาในระบบต้องพยายามทำเต็มที่ แต่ตนมีความเชื่อมาตลอดว่าคนคนหนึ่งทำได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีคนที่มีความพร้อมกว่าก็ต้องเปิดทาง ไม่ใช่ว่าท้อถอยเพราะตนอยู่กับการเมืองมานานถึง 20 ปี ซึ่งบางเรื่องในทางการเมืองก็ดีขึ้น ส่วนนักการเมืองก็ไม่ใช่ว่าเลวร้ายทั้งหมด และยืนยันว่าไม่ได้เป็นเพราะถอดใจว่าสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เนื่องจากยืนหยัดสู้มาตลอด