“อภิสิทธิ์” เรียกร้องรัฐบาลทบทวนโครงการรับจำนำข้าว รับไม่ได้ยอมให้ทุจริต 20 % ชี้ ป.ป.ช.เตือนแล้ว หากยังดื้อเดินหน้า ถือว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ครม.ต้องรับผิดชอบ
นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาคัดค้าน คนที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าวว่า อยากให้รัฐบาลยอมรับความจริงว่าการช่วยเกษตรกรในโครงการนี้ สุดท้ายจะสร้างปัญหามาก เพราะเกษตรกรก็ไม่รู้จะนำข้าวไปขายให้กับใคร โกดังก็เต็ม และรัฐบาลก็ไม่มีเงินสนับสนุน ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนโครงการ เพราะผลเสียที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การทุจริต ความไม่เป็นธรรม การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง หากมีความเสียหายเกิดขึ้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า สิ่งที่สังคมรับไม่ได้คือการที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ระบุว่าถึงโครงการรับจำนำข้าวว่าเกษตรได้รับประโยชน์ 80% ส่วนอีก 20% คือการทุจริต ดังนั้นยอมให้มีการทุจริต 20% ได้ ถือเป็นการตอกย้ำ และไม่ควรออกมาจากคนของรัฐบาล ซึ่งต้องมีคนได้ประโยชน์ ทั้งที่สังคมไม่ต้องการให้มีการทุจริตเกิดขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลต้องใจกว้างยอมรับการตรวจสอบ ยอมรับฟังเสียงแตกต่างของสังคม รับฟังความคิดเป็นของประชาชนว่าคิดอย่างไรต่อนโยบายของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการดังกล่าวเป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงปฏิเสธไม่ได้เพราะกลไกส่อให้เกิดการทุจริต ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. )ชี้มาตั้งแต่ต้น และรัฐบาลที่แล้วก็ได้ตัดสินใจว่าเปลี่ยนรูปแบบการช่วยเหลือเกษตรกร ดังนั้น ป.ป.ช.ได้เสนอแนะต่อรัฐบาลแล้วแต่กลับเพิกเฉย ขณะเดียวกันคนของรัฐบาลก็ออกมายอมรับว่า จะยอมให้หัก 20 % หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตาม จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากเกิดความเสียหาย คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องรับผิดชอบ ส่วนข้อกฎหมายจะเป็นอย่างไรก็ว่ากันไป แต่สิ่งสำคัญคือประโยชน์ของประเทศและประชาชนเสียหาย และโครงการดังกล่าวไม่สามารถตอบโจทก์ได้ ทั้งนี้จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพราะดำเนินโครงการมา 1 ปีก็น่าจะรู้ปัญหาว่าเป็นอย่างไร หากจะมีการปรับรูปแบบ วิธีการ หรือยกเลิกเพื่อให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามตนคิดว่าหากเดินหน้าทำต่อไปสุดท้ายเกษตรกรก็จะได้รับความเดือดร้อน
ส่วนที่มีการนำมวลชนมาสนับสนุนรัฐบาล และกดดันคนที่เห็นต่างนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ควรจะมีการปลุกปั่น และเกษตรกรก็ต้องช่วยกันดูว่าโครงการดังกล่าวดีหรือไม่ คิดว่าหากรัฐบาลจะใช้เงินปีละ 1.5 แสนล้านมาทำโครงการนี้ทุกปี ควรนำไปเฉลี่ยให้เกษตรกรอย่างทั่วถึงดีกว่า