ส.ส.เมืองคอน จวก “ยิ่งลักษณ์” ครม.สัญจรลงใต้ แค่สร้างภาพ โปรยยาหอมปชช.แถมชุบมือเปิบโครงการ รบ.“มาร์ค” จี้ต้องมีแผน-งบรองรับ ย้อนไม่มีกลุ่มต่อต้านแบบแก๊งแดง อย่าจัดกำลังโอเวอร์-ซัดจำนำข้าว หวังผลแค่เลือกตั้ง ไม่สนปัญหา ยกวาทกรรมอ้างทำเพื่อชาวนา แต่สังคมแตกแยก-แจง รบ.มาร์ค ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหมือน รบ.ปู เหตุโพลชี้ทำงานล่าช้า แต่เย้ยไม่เอื้อพวกพ้องเหมือนปัจจุบัน ซัดนายกฯ เลิกหลอกตัวเอง รับความจริงไร้อำนาจ ปชช.รู้นายใหญ่คุมเอง
วันนี้ (21 ต.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ว่า เป็นแผนการตลาด ต้องการสร้างภาพ ให้เห็นว่า รัฐบาลสนใจประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง และเนื้อหาในการประชุม ครม.สัญจร ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการโปรยยาหอม และบางโครงการก็เป็นการชุบมือเปิบ งานที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ได้ริเริ่มเอาไว้ เช่น กรณีการผลักดันพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ให้เป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มผลักดันมาตั้งแต่ยุครัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และขณะนี้ ส.ส.นครศรีธรรมราช ของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 10 คน ได้ผลักดันงบพัฒนาจังหวัดจำนวน 150 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และปริมณฑล เพื่อเตรียมพร้อมให้เข้าสู่เงื่อนไขของยูเนสโก
ดังนั้น การลงพื้นที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่อยากให้มีแต่ภาพของการตีฆ้อง สร้างสัญลักษณ์ ว่า จะนำพระบรมธาตุเจดีย์ไปสู่มรดกโลก โดยไม่จัดสรรงบประมาณ หรือมีแผนงานใดๆ ที่จะผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง รวมถึงความเดือดร้อนเร่งด่วนของคนในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราช เช่น การของบประมาณป้องกันน้ำท้วม และสร้างแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ผลิตน้ำประปาในหน้าแล้ง ว่า จะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลหรือไม่
นายเทพไท กล่าวต่อว่า สิ่งที่ปรากฏชัดในการลงพื้นที่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่รัฐบาลควรใช้เป็นต้นแบบ ปรับความคิดประชาชนทั้งประเทศ คือ ไม่มีการขัดขวางการลงพื้นที่ใดๆ จะมีแต่กลุ่มกรีนพีซ หรือเอ็นจีโอ ที่มาแสดงออกเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และไม่อยากที่จะให้รัฐบาลใช้งบประมาณโดยสิ้นเปลืองไปกับการรักษาความปลอดภัย และพิธีการตอนรับที่ระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจมากถึง 5 พันคน และตั้งเป้าระดมมวลชนให้ได้ถึง 3 พันคน แต่สุดท้ายก็มีประชาชนมาไม่ถึง 2 พันคน จึงอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของความศรัทธา และเป็นไปโดยธรรมชาติ
นายเทพไท ยังกล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวที่มีปัญหาในขณะนี้ ว่า รัฐบาลยังดึงดันที่จะผลักดันโครงการนี้ต่อไป โดยไม่สนใจเสียงคัดค้าน หรือคำท้วงติงจากหลายองค์กร ว่า จะมีการสูญเสียงบประมาณนับแสนล้านบาท กระทบต่อตลาดส่งออกข้าวไทย และคุณภาพข้าวไทยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะรัฐบาลมุ่งหวังแต่คะแนนเสียง โดยใช้งบประมาณของรัฐ ไปหว่านให้กับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งได้รับผลจากโครงการนี้ แค่ 35 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด และยิ่งร้ายกว่านั้น รัฐบาลกำลังเคลื่อนไหวนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมืองปลุกระดมให้เกิดความแตกแยกในสังคม โดยอ้างถึงผลประโยชน์ของชาวนาที่ได้รับ และโจมตีฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว ว่า เข้าข้างนายทุน และพ่อค้าส่งออก
“รัฐบาลกำลังทำเรื่องนี้ให้เป็นวาทกรรมทางการเมืองเหมือนกับในช่วงมีการรณรงค์หาสียงเลือกตั้ง มีการแบ่งแยกไพร่ อำมาตย์ เป็นการประกาศสงครามชนชั้น มาวันนี้ก็พยายามสร้างวาทกรรม ชาวนากับนายทุน โดยพยายามสร้างภาพว่าตัวเองอยู่ฝ่ายชาวนาคนยากจน และยัดเยียดให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการไปอยู่ฝ่ายนายทุน เพราะรัฐบาลประเมินแล้วเห็นว่าชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ สามารถเป็นฐานทางการเมืองให้กับตัวเอง โดยไม่สนใจความแตกแยกในสังคม และหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” นายเทพไท กล่าว
ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ที่ระบุว่า ภาพลักษณ์ของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำงานช้า ขณะที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำงานเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องนั้น ว่า ถือเป็นมุมมองหนึ่งของประชาชนผ่านผลสำรวจ ซึ่งก็ควรที่จะรับฟังไว้ แม้จะไม่ใช่ข้อสรุปทั้งหมดก็ตาม แต่ก็เป็นการสะท้อนความรู้สึกต่อรัฐบาลทั้ง 2 ชุดได้ระดับหนึ่ง และการที่ผลโพลออกมา ว่า การบริหารงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เชื่องช้านั้น อาจเป็นพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลผสม ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจ อาจจะต้องมีการกลั่นกรองการทำงานเพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุม และผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนให้มากที่สุด อาจจะไม่ถูกใจคนไทยในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการความรวดเร็ว ในยุควัตถุนิยม แต่ยังดีกว่าภาพของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เกิดภาพลักษณ์การเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องมากที่สุด ซึ่งเป็นความรู้สึกที่คนทั่วไปรับรู้ได้ว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นรัฐบาลนอมินี มีเสียงสนับสนุนเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ การทำงานสามารถตัดสินใจในลักษณ์รวดเร็วเบ็ดเสร็จ และรวมศูนย์ของผู้มีอำนาจได้ รวมถึงการที่รัฐบาลพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ปรองดอง และการออกนโยบายประชานิยม ล่วนแล้วแต่ทำให้สังคมเชื่อว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งสิ้น
ส่วนที่ผลสำรวจระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ทำงาน แต่ทำตามพี่ชายสั่งนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ภาพเหล่านี้สะท้อนความรู้สึกมุมมองข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน และเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯหุ่นเชิด ไม่มีอำนาจที่แท้จริงเป็นของตัวเอง ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ควรรับฟังและปรับปรุงบทบาทตัวเอง ไม่ใช่ยื่นกระต่ายขาเดียวว่ามีอำนาจสูงสุด ทั้งที่ความจริงสังคมรับรู้กันทั้งประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่ควรหลอกตัวเอง เพราะผลโพลก็ชัดว่า นายกฯ ไม่สามารถหลอกคนไทยได้