ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป.อัด รบ.อ้างเอ็มโอยูเป็นสัญญาขายข้าวจีทูจี เปรียบสมัย “มิ่งขวัญ” หลอกหลวงคนไทย ชี้ราคาแพง ขายยังไงก็ขาดทุน ยันไม่มีประเทศใดยอมตกลงราคาถึงปีหน้าแบบที่อ้าง แฉ “บุญทรง” จี้ ขรก.เจรจาขายให้ทัน ยกผลโพลไทย-เทศ ชี้คนมาเลย์ส่วนใหญ่ไม่เอาคอร์รัปชันแม้ได้ประโยชน์ ตรงข้ามคนไทย ย้อนนโยบาย รบ.ต้านโกง บี้ “ยิ่งลักษณ์” สร้างความเข้าใจปรับทัศนคติ ปชช.
วันนี้ (14 ต.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แถลงข่าวกรณีความไม่ชัดเจนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า ขณะนี้รัฐบาลเอาสัญญาซื้อขายมาอ้างเป็นการเล่นปาหี่หลอกประชาชน เพราะสัญญาที่นำมาอ้างว่ามีการขายข้าวแล้ว 7.3 ล้านตันนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูเท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีภาระผูกพันที่ต้องทำตาม เป็นเพียงการให้เกียรติรัฐมนตรีพาณิชย์เวลาที่เดินทางไปเจรจากับต่างประเทศ ซึ่งจะเซ็นเอ็มโอยูมากแค่ไหนก็ทำได้แต่เวลาซื้อขายก็ต้องดูราคาเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่มีใครก้มหน้าก้มตาซื้อ หากเปรียบเทียบข้าวขาว 5% ของไทยและเวียดนามแล้วข้าวไทยจะมีราคาสูงกว่า 128 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งข้าวที่มีราคาแพงจะขายไม่ได้และหากขายได้ก็ต้องขายขาดทุน นอกจากนั้น จากการตรวจสอบก็พบอีกว่ายอดซื้อตามสัญญาซื้อขายที่รัฐบาลอ้างว่ามีการซื้อขายและส่งมอบแล้วนั้น ก็เป็นการเล่นปาหี่เช่นกัน เพราะเป็นไปไม่ได้และผิดปกติมากที่ประเทศคู่ซื้อจะยอมกำหนดราคาขายข้าวกันเป็นปี คงไม่มีประเทศไหนที่มาซื้อข้าวจากไทยโดยบอกราคาล่วงหน้าถึงปี 2556 เหมือนที่รัฐบาลอ้าง ซึ่งขณะนี้ตนทราบว่านายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็พยายามจี้ข้าราชการในกระทรวงให้รีบเจรจากับหลายประเทศเพื่อมาซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีให้ได้
“เรื่องลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นในกระทรวงพาณิชย์มาแล้ว ในสมัยที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ ที่มีการทำเอ็มโอยูกับหลายประเทศ แล้วก็กลับมาบอกว่ามีหลายประเทศจะซื้อข้าวแบบจีทูจีมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบุญทรงกำลังเดินตามรอยนายมิ่งขวัญอยู่หรือไม่ ทั้งนี้ ตนอยากให้รัฐบาลหยุดเล่นปาหี่หลอกคนไทย และเอาความจริงมาเปิดเผย” นายองอาจกล่าว
นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยเอแบคโพลล์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยยูซีเอสไอ ของมาเลเซีย เรื่อง “เปรียบเทียบระดับการต่อต้านรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชัน แม้ตนเองจะได้ประโยชน์ด้วย” ซึ่งพบว่าคนไทยร้อยละ 68.5 ยอมรับได้ถ้ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันขณะที่ตัวเองได้รับประโยชน์ ขณะที่ชาวมาเลเซียร้อยละ 63.1 ต่อต้านรัฐบาลที่ทุจริตคอร์รัปชันแม้ตัวเองจะได้รับประโยชน์ ซึ่งตนคิดว่าความแตกต่างระหว่างความรู้สึกนึกคิดของคนไทยกับคนมาเลเซียในเรื่องนี้เป็นนัยสำคัญในการต่อต้านการทุจริต ขณะที่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยประกาศว่านโยบายการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเป็นนโยบายสำคัญด้วยนั้น ตนจึงขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี บริหารจัดการ ใช้กลไกเครือข่ายอำนาจรัฐ และบุคลากรที่มีอยู่ในการสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้องให้เกิดแก่ประชาชนในสังคมไทยในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน