xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ยัน “ยงยุทธ” หลุด ส.ส. จี้คนโกงธรณีสงฆ์ จ่ายชดเชยเอกชน-อัด รบ.กู้หนี้อีก 2 ล้านล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(แฟ้มภาพ)
“อภิสิทธิ์” ชี้ อดีต มท.1 ขาดคุณสมบัติ ส.ส. เย้ยออกเพราะจำนนต่อกฏหมาย เตือน รบ.อย่าท้าทายองค์กรตรวจสอบ แนะปรับทัศนคติยอมรับ บี้เร่งเรียกคืนที่ดินอัลไพน์คืนวัด ดักทางเอกชนปล่อยข่าวขอค่าลงทุน หมื่นล้าน ให้รัฐไปไล่เบี้ยตามกฎหมายกับต้นตออนุมัติ ชี้เรื่องยังไม่จบ แนะสังคมจับตาอย่างใกล้ชิด-ซัดรบ. ยังมีหน้ากู้อีก 2 ล้านล้าน หลังยอดกู้เดิม 3.5 แสนล้านยังไม่เห็นผล พบทุจริตเพียบ แนะทำตาม กม. ชี้ดื้อดันโครงการสร้างปัญหาเพิ่ม ให้ ปชช.ขัดแย้งรัฐ

วันนี้ (30 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังไม่ลาออกจากการเป็น ส.ส.ว่า พรรคมีความเห็นว่านายยงยุทธขาดคุณสมบัตินี้แล้วก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่การลาออกจากรองนายกฯ และรัฐมนตรีถือเป็นการลดแรงกดดันเพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการทำงานของรัฐบาล แต่ปัญหากรณีคุณสมบัติถ้าพิจารณาโดยข้อกฎหมายก็ต้องขาดคุณสมบัตจากการเป็น ส.ส.ด้วย ซึ่งในเรื่องของกฎหมายก็มีคนไปยื่นเรื่องไว้แล้ว

ในส่วนของพรรคจะมีการประชุมในวันจันทร์ที่ 1 ต.ค. ที่จะหารือต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งฝ่ายกฏหมายเองก็ยกร่างเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทย อ้างถึงกรณีนี้เทียบเคียงกับนายสัก กอแสงเรือง อดีต ส.ว.นั้น ตนจำไม่ได้ว่า กรณีนายสักขาดคุณสมบัติอย่างไร แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ นายยงยุทธขาดคุณสมบัติอย่างไร ซึ่งสุดท้ายต้องให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย เพราะผลจากการชี้มูลของ ป.ป.ช.ต้องเดินหน้าต่อ ที่มีทั้งส่วนของการเมืองและคดีอาญา สังคมควรต้องจับตาดูเพราะเรื่องทางอาญาก็ต้องไปจบที่ศาลเช่นเดียวกัน แต่จุดเริ่มต้นอยู่ที่อัยการ ซึ่งต้องทำง่านร่วมกับ ป.ป.ช. โดยยึดสำนวนของ ป.ป.ช.เป็นหลัก

“ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้และเรียกร้องมาโดยตลอด กรณีของรัฐบาลนี้ค่อนข้างชัด ไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ป.ป.ช. หรือแม้กระทั่งมีเรื่องเกี่ยวพันไปถึงศาล ก็พยายามสร้างกระแสกดดัน หรือหาช่องทาง ที่ไม่ยอมรับการใช้อำนาจขององค์กรเหล่านี้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตรวจสอบ ถ้ารัฐบาลต้องการให้สังคมต่อสู้กับการทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างจริงจังต้องเปลี่ยนทัศนะคติที่เกี่ยวข้องกับองค์กรตรวจสอบ ไม่ใช่เฉพาะกับแค่องค์กรอิสระเท่านั้น แต่รวมไปถึงการทำงานของฝ่ายค้าน นักวิชาการและสื่อมวลชน” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลาออกของนายยงยุทธทางพรรคเพื่อไทยยังพยายามใช้คำว่า เสียสละ แทนที่จะยอมรับว่าขาดคุณสมบัติเพราะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลว่า มีความผิดจะส่งผลอะไรต่อค่านิยมทางสังคมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในที่สุดถ้าศาลตีความมาก็จะเป็นบรรทัดฐานจะได้ทราบชัดเจนว่าการชี้มูลที่มีปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินจะต้องวินิจฉัยอย่างไร ซึ่งตนถือว่าเมื่อนายยงยุทธลาออกก็ไม่อยากลงรายละเอียดกว่า ลาออกเพราะแสดงความรับผิดชอบหรือจำนนต่อข้อกฎหมาย แต่จะเปรียบเทียบว่า ถ้าเป็นรัฐบาลที่ตนเป็นนายกฯ กรณีในลักษณะนี้ต้องลาออกตั้งแต่ ป.ป.ช.ชี้มูลแล้ว คงไม่ต้องรอถึง อ.ก.พ. แต่เมื่อนายยงยุทธออกแล้วก็เท่ากับฝ่ายบริหารปลดปัญหานี้ออกไป จากนั้นก็ต้องดูว่านายกฯจะปรับ ครม.อย่างไร หรือไม่ ซึ่งตนยืนยันว่ารัฐบาลต้องปรับทัศนะคติในเรื่องขององค์กรตรวจสอบ และต้องพยายามสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง ด้านจริยธรรมมากกว่าที่บริหารงานมา 1 ปีเศษ

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อถึงกรณีที่ ป.ป.ช.ชี้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์จะต้องกลับไปทำให้ถูกต้องตามกฎหมายว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำให้ถูกต้อง ซึ่งผู้ที่มีอำนาจทางกฎหมาย ตนไม่แน่ใจว่าเป็นอธิบดีกรมที่ดิน หรือปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ต้องดำเนินการต่อไป ส่วนที่มีการสร้างกระแสข่าวว่า หากทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยคืนที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์จะต้องจ่ายชดเชยให้เอกชนถึง 1 หมื่นล้านบาทนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หน้าที่ของหน่วยงานคือการดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมาย ถ้าในทางกฏหมายชี้ชัดว่า สถานะของที่ดินเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

เมื่อถามย้ำว่า แต่ทางเอกชนระบุว่ามีผลกระทบกับเอกชนที่ลงทุนไปแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรณีที่เอกชนจะไปเรียกร้องสิทธิก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง แต่จะบอกว่า ถ้าเอกชนเรียกร้องค่าชดเชยแล้วจะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้ เพราะสุดท้าย ถ้าตัวเลข 1หมื่นล้านบาทเป็นความเสียหายที่ต้องชดเชยจริง ก็ต้องย้อนกลับว่า ใครเป็นคนทำให้เสียหาย เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ ต้องไปไล่เบี้ยเอา เพราะระบบกฎหมายของเราเป็นอย่างนี้ชัดเจน ฉะนั้น คนที่กระทำผิดสุดท้ายก็ต้องเป็นคนรับภาระเหล่านี้เอง ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่จบ เราต้องช่วยกันสนับสนุนกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจ มิเช่นนั้น จะเป็นปัญหาทั้งการเมืองและการขัดแย้งโดยไม่จำเป็น แต่ถ้ามีการสร้างบรรทัดฐานที่ดี และทุกฝ่ายยอมรับกระบวนการตรวจสอบทุกอย่างก็จะราบรื่น

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เตรียมจะขอกู้เงินอีก 2 ล้านล้านบาทว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลเตรีจยมที่จะก่อหนี้สินเพิ่มจำนวนมากถึง 2 ล้านล้านบาท เพราะแม้แต่เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ก็ยังไม่เห็นถึงการลงทุนอย่างคุ้มค่า ในขณะที่มีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้ว 1.2 แสนล้านบาท หรืออาจจะเป็น 1.5 แสนล้านบาท ก็ยังไม่เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำดีขึ้นอย่างไร

ดังนั้น การที่จะบริหารเงิน 3.5 แสนล้านบาทจึงมีความเป็นห่วงว่ารัฐบาลยกเว้นกฏระเบียบ ทั้งที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตมาก เพราะแค่งบ 1.2 แสนล้านบาทก็สามารถตรวจสอบพบว่า มีการทุจริตผิดปกติ เมื่อจะใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินนอกงบประมาณและยังมีการยกเว้นกฏ ระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆอีกด้วย จึงน่าเป็นห่วงมาก

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวต่อว่า ส่วนที่มีข่าวระบุว่า จะนำงบประมาณดังกล่าวไปสร้างเขื่อนนั้น เรื่องตัวโครงการต้องปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสิ่งที่เราท้วงติงว่า แผนที่จะใช้เงินยังไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายให้เรียบร้อย หากเอกชนเสนอตัวมาทำ สุดท้ายถ้าโครงการเหล่านี้มีปัญหาในทางกฎหมายก็จะย้อนกลับมาเป็นปัญหาโต้แย้งระหว่างรัฐกับเอกชน ยิ่งจะเพิ่มปัญหาการเผชิญหน้าระหว้างประชาชนกับรัฐอีก เพราะขณะนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนแล้ว ดังนั้นรัฐบาลควรดำเนินการให้เรียบร้อยถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น