ผ่าประเด็นร้อน
ได้อ่านข่าวใน manager online ที่มีรายงานว่า ข้าวหอมกัมพูชาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดข้าวที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกในปีนี้ ที่มีการประกวดกันที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีนักชิมจากทั่วโลกร่วมชิมและเป็นสักขีพยาน
จากนั้นมีข่าวรายงานอีกว่า ทางการเวียดนามได้คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถส่งออกข้าวได้มากกว่า 7.5 ล้านตัน และยังมีรายงานอีกว่าส่วนใหญ่ที่เวียดนามส่งออกนั้นเป็นข้าวคุณภาพสูงที่เป็นข้าวหอม กว่าร้อยละ 51.39 โดยตลาดหลักก็คือ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย โดยนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ชูเกียรติ โอภาสวงศ์ คาดว่าตลอดทั้งปีนี้ไทย(เฉพาะภาคเอกชน)จะส่งออกข้าวได้ประมาณ 6.5 ล้านตัน ลดลงจากปีที่แล้วที่เอกชนส่งออกได้ 10.6 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 40 เนื่องจากราคาข้าวของไทยมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าตลาดข้าวไทยมีคู่แข่งมากขึ้นโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ โดยล่าสุดมีคู่แข่งจากกัมพูชาที่ส่งออกข้าวหอม เนื่องจากมีคุณภาพใกล้เคียงกัน
เป็นข่าวที่เชื่อว่าทำให้หลายคนรู้สึกหดหู่ยังไงชอบกล เพราะก่อนหน้านี้เราเพิ่งได้ยินเสียงคัดค้านและเสนอให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทบทวนโครงการจำนำข้าว เนื่องจากเห็นว่าก่อให้เกิดความเสียหายกับตลาดการค้าข้าว ทำลายคุณภาพข้าวไทยอย่างย่อยยับ และในระยะยาวจะส่งผลเสียต่อชาวนาที่ขายข้าวไม่ได้
ที่สำคัญโครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตกันแทบทุกเมล็ด ซึ่งฝ่ายที่ได้ประโยชน์ไปเต็มๆก็คือกลุ่มโรงสีและกลุ่มทุนที่เป็นพรรคพวกของนักการเมืองในรัฐบาลเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมหลักของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่ใช้เงินงบประมาณในแต่ละปีหลายแสนล้านบาท โดยปีที่แล้วใช้ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท และคาดกันว่ารัฐต้องขาดทุนไม่ต่ำกว่า หนึ่งแสนล้านบาทเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะเห็นภาพการขาดทุนมากมายมหาศาลดังกล่าว รวมไปถึงข่าวที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่เป็นสถาบันการเงินที่รับหน้าเสื่อปล่อยเงินให้ชาวนากำลังขาดสภาพคล่อง เพราะรัฐบาลยังไม่อาจระบายข้าวในสต็อกออกไปได้ เพราะราคาสูงขายไม่ออก
เพราะจากการที่ตัวแทนของ ธ.ก.ส.ที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ก่อนยืนยันว่าธนาคาร ธ.ก.ส.ต้องการเงินจำนวน 4 หมื่นล้านบาทเป็นการเร่งด่วน เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องสำหรับจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าว ไม่เช่นนั้นจะทำให้การจ่ายเงินกับเกษตรกรต้องล่าช้าออกไปอีก
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งหากพิจารณาจากความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่าเวลานี้ชาวนากำลังมีความพอใจกับการรับจำนำข้าว (ขายขาด) กับรัฐบาล เพราะมีราคาสูงกว่าตลาด แม้ว่าจะได้ราคาตามที่ประกาศเอาไว้ เช่น ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท ราคาจริงจะต้องหักค่าความชื้น กรวดหินปะปนลดลงมาเหลือ 16,000 ไม่เกิน 17,000 บาท หรือข้าวขาวตามราคาประกาศได้ตันละ 15,000 บาท ก็อาจได้แค่ 8,000 ไม่เกิน 11,000 บาท ก็ถือว่าน่าพอใจ แม้ว่าในหลายพื้นที่ยังไม่ได้รับเงินสดมานานกว่า 3 เดือนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสุขใจไว้ก่อนเมื่อได้กอดตัวเลขอยู่ในมือ ขณะที่โรงสี พ่อค้าที่รับจำนำแล้วนำมาขึ้นเงินกับรัฐบาลกลับได้ราคาเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามประกาศเอาไว้ หรือยังไม่อาจตรวจสอบได้ว่ามีข้าวในสต็อกจริงหรือเปล่า
ที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงเวลาเดียวกันก็ได้เกิดการเคลื่อนไหวสนับสนุนของกลุ่มการเมืองเสื้อแดงและชาวนาจำนวนหนึ่งออกมาสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการจำนำข้าวอย่างผิดปกติ โดยอ้างว่าชาวนาได้ประโยชน์สามารถลืมตาอ้าปากได้
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ก่อนหน้านี้มีข่าวแต่เรื่อง “เจ๊แดง” เจ๊ ด.อะไรนั่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวได้กำไรกันมหาศาล ขณะที่การตรวจสอบการทุจริตที่มีรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และมีกลไกทั้งตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ส่วนใหญ่ที่กำลังเป็นข่าวว่าจับได้ที่นั่นที่นี่ก็ล้วนแล้วระดับปลาซิวปลาสร้อยเป็นรายเล็กรายน้อย ไม่มีกลุ่มทุนการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าไม่มีทางที่รัฐบาลจะถอยหรือทบทวนโครงการจำนำข้าว เพราะนอกเหนือจากการให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของรัฐบาลชุดนี้ที่สั่งให้เดินหน้าเต็มที่ เพราะถ้าถอยก็จะเสียเครดิต ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าด้วยภาพฉาบฉวยที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาสูงกว่าตลาด แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับราคาที่กลุ่มโรงสีและกลุ่มทุนบางกลุ่มนำไปขายต่อ มีการสวมสิทธิ์กันอย่างมโหฬาร แต่ก็ถือว่าเวลานี้มีการสร้างกระแสความรู้สึกว่า “ได้ใจชาวนา” ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เพียงเท่านี้ก็พอหลับตาเห็นภาพแล้วว่า จะยกเลิกให้โง่ทำไม!!