“อภิสิทธิ์” เล่าคำสั่งศาลคดีแท็กซี่แดงแค่ฟันธงเจ้าหน้าที่รัฐสังหารเหตุสกัดรถตู้ฝ่าด่าน แปลกใจ “ธาริต” ไปไกลกุเจตนาฆ่า ถามสามัญสำนึกมันใช่หรือเปล่า ถามถ้าช่วยตัวประกันแล้วโดนลูกหลงคนสั่งผิดงั้นหรือ เชื่อมีธง แนะสังคมอ่านรายงาน คอป. แย้มอธิบดีดีเอสไอมีสิทธิ์โดนพ่วงถูกเล่นด้วย ย้ำตั้ง ศอฉ.เพื่อรักษาความสงบ ลั่นต่อสู้ตามกระบวนการต่อ แฉ “แจ๊ส” เกณฑ์ ตร.บุก ปชป. ถามไม่มีงานจะทำหรือ จวก คอป.หยิบแค่บางส่วนไปใช้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (18 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกายแชแนล ถึงกรณีที่ศาลอาญาอ่านคำสั่งการไต่สวนคำร้องกรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง แนวร่วประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติว่า เรื่องนี้ก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และทุกฝ่ายก็เคารพกระบวนการยุติธรรม ตนขออธิบายในเรื่องของขั้นตอนก่อน จนถึงขั้นตอนที่มีการไต่สวน แล้วก็ศาลมีคำสั่งเมื่อวานนี้ เป็นการเริ่มต้นจากกระบวนการตามกฎหมายว่า เมื่อมีการเสียชีวิตซึ่งไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วก็อาจจะเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็ต้องมีการไต่สวน เมื่อไต่สวนเสร็จแล้ว เมื่อวานนี้ศาลก็เชื่อว่าเป็นการกระทำของทางเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปควบคุมพื้นที่ในบริเวณถนนราชปรารภ ก็จะต้องส่งเรื่องกลับไปยังพนักงานสอบสวน แล้วก็อัยการ ซึ่งกรณีนี้ก็คงจะไปอยู่ที่ดีเอสไอก็จะต้องไปดำเนินการต่อไปว่าเมื่อเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ การเสียชีวิตนั้นมีใครมีความผิดก็ต้องพิจารณากันไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทีนี้จากการวินิจฉัย หรือการสั่งของศาลเมื่อวานนี้ ศาลก็สรุปเหตุการณ์เล่าง่ายๆ ก็คือว่า คุณพัน คำกอง นั้นเป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่ว่าได้เอารถแท็กซี่มาจอดอยู่ในบริเวณแถวถนนราชปรารภ ในค่ำวันนั้นมีการยิงเอ็ม 79 เข้ามาที่บริเวณที่ทหารอยู่ แต่ไม่ใช่ตรงถนนราชปรารภ อาจจะเลยไปอีกหน่อย แล้วก็มีการเตือนกันเป็นการภายใน อันนี้จากการที่มีการเบิกความว่าจะมีรถตู้ ซึ่งอาจจะฝ่าด่านที่ทางเจ้าหน้าที่เขาตั้งเอาไว้ พอตอนค่ำ ตอนดึกก็มีรถตู้เข้ามาจริง แล้วพอรถตู้นั้นเข้ามาแล้วก็มีการเตือนไม่ให้ฝ่าด่าน แต่ปรากฎว่ารถตู้ไม่หยุด เมื่อไม่หยุดก็มีการยิง เมื่อมีการยิง ปรากฏว่านายพัน คำกอง ซึ่งออกมาดูเหตุการณ์ ก็เลยถูกยิงแล้วเสียชีวิตต่อมา นี่คือสิ่งที่ศาลสรุป แล้วก็ที่ศาลเชื่อว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเป็นทหารนั้น เพราะว่าทางตำรวจไปเบิกความว่า ในพื้นที่ดังกล่าวมีเพียงทหารเท่านั้นซึ่งเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทุกฝ่ายก็เคารพกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องมีการดำเนินการต่อไปที่ดีเอสไอ
“แต่ว่าที่แปลกก็คือที่ดีเอสไอนั้น ดูทางคุณธาริต ก็พูดไปไกลหมดแล้ว เรื่องเจตนาฆ่า เรื่องอะไร ทั้งๆ ที่ความจริงถ้าอ่านจากคำวินิจฉัยของศาล ก็เห็นได้ชัดเจนนะครับว่า กรณีการยิงที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นเรื่องของการยิงสกัดรถตู้ แต่ว่าไปโดนนายพัน คำกอง เพราะฉะนั้นพยายามที่จะมาโยง แล้วพูดจาให้คนเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องการเจตนาฆ่า แล้วมีคนสั่ง ให้เป็นคนสั่งมีเจตนาจะฆ่าอะไรทำนองนั้น ก็ใช้สามัญสำนึกก็แล้วกันว่ามันใช่หรือเปล่านะครับ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า การที่อธิบดีดีเอสไอ ออกมาตั้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่าเท่ากับเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา และสั่งอย่างนั้นเท่ากับเป็นการเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าจะทำให้มีคนตายเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ลองใช้สามัญสำนึกก็แล้วกัน เอาว่าไม่ต้องให้มีเหตุการณ์หนักหนาสาหัสเหมือนช่วงปี 53 ที่ต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วมีการใช้อาวุธสงครามกันมาก่อนหน้านี้ เอาง่ายๆ ว่า ถ้าสมมติว่ามีผู้ร้ายจับคนเป็นตัวประกัน หรือมีการต่อสู้อะไรกับเจ้าหน้าที่ขึ้น แล้วก็ปรากฏว่าระหว่างการยิงนั้น กระสุนไปโดนบุคคลอื่นเสียชีวิต ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าอย่างนี้เป็นเจตนาฆ่า ถ้างั้นถ้าตามนายธาริต อันนี้ก็เป็นเจตนาฆ่า แล้วก็เจ้าหน้าที่ที่พยายามไปแก้สถานการณ์นั้นก็ผิด คนสั่งการก็ผิด อย่างนั้นเหรอ ตนก็เลยคิดว่า เรื่องนี้ก็คงเป็นความพยายามพูดตามธงซึ่งนายธาริต เคยพยายามตั้งเอาไว้ แล้วก็ยังบอกด้วยซ้ำว่า ก็จะยึดถือแนวทางนี้สำหรับอีกหลายสิบคดี ซึ่งก็จริงๆ แล้ว การไต่สวนเรื่องการเสียชีวิตของแต่ละรายก็จะมีเหตุการณ์จะมีภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอันนี้ตนก็จะติดตามดูว่า ตกลงเมื่อไปที่ทางอัยการ แล้วกลับไปที่พนักงานสอบสวนแล้ว มีการดำเนินการอย่างไร ตนก็ชี้ให้เห็นว่า เมื่อผมก็ไปดูคำสั่งของศาล ซึ่งบรรยายอย่างนี้ ก็คิดเอาก็แล้วกันว่ามันใช่หรือเปล่า ว่าเป็นเจตนาฆ่า มีคนสั่ง มีเจตนาที่จะไปฆ่า
“คือผมก็ไม่ได้แปลกใจแล้วนะครับ เพราะอย่าลืมว่าคุณธาริตนั้นพูดทำนองนี้ตั้งแต่ก่อนศาลสั่งอีกว่า อยากจะดำเนินการต่อไปในลักษณะนี้ เหมือนมีธงอยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า การที่นายธาริตให้สัมภาษณ์อย่างนี้ก็เท่ากับส่งสัญญาณให้พนักงานสอบสวนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายธาริต พร้อมจะตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพว่าฆ่าคนตายโดยเจตนาเลยใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายธาริตจะส่งหรือไม่ส่งสัญญาณไม่ทราบ แต่ว่าคนที่สอบ ที่เขาพูดมาตลอดก็รู้สึกได้รับสัญญาณมาจากที่อื่นอยู่แล้ว เพราะว่าหลังจากที่พยายามอ้างว่า ชายชุดดำไม่มีเลย อะไรต่างๆ เมื่อวานนี้ (17 ก.ย.) คอป.ก็แถลงค่อนข้างชัดว่า ที่มาที่ไปเหตุการณ์อย่างไร ตนคิดว่าสังคมก็ต้องใช้เวลาสักนิดนึงกับการที่จะไปพิจารณารายงานของ คอป. ซึ่งมีความยาวถึงเกือบ 300 หน้า ประมาณนั้น แล้วก็มีข้อเสนอแนะต่างๆ มากมาย แต่ว่าตนฟังการแถลงข่าวเมื่อวานก็เป็นการสรุปเหตุการณ์ที่พยายามที่จะให้เป็นไปตามความเป็นจริงที่เขาสืบค้นหรือค้นหาให้ได้มากที่สุด
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ตนเข้าใจว่าใน ศอฉ. นายธาริตต้องเป็นกรรมการ แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานในหลายกรณีด้วย เพราะว่าในรายละเอียดการปฏิบัติ ความจริงนายธาริตจะทราบมากกว่าตนด้วยซ้ำ เพราะว่าเนื่องจากว่าเป็นผู้ที่ประชุมในระดับหลายระดับ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าถ้าเกิดจะตั้งข้อหาอย่างนั้นกับตนและนายสุเทพ นายธาริตจะเป็นพยานหรือจะต้องมาเป็นผู้เป็นจำเลยร่วม เพราะว่าถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่ามีส่วนในการตัดสินใจเหมือนกัน
“ผมก็เรียนย้ำอีกครั้งนะครับว่า ที่เราได้ปฏิบัติหน้าที่กันใน ศอฉ. แล้วก็ผมก็ในฐานะนายกรัฐมนตรีทั้งหมดทำนั้นก็เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และผมก็กล้าพูดได้ด้วยว่า ความพยายามในการแก้ไขปัญหานั้น ก็ไม่มียุคใดนะครับที่ 1. มีการพยายามไปเจรจา ผมว่าคงไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนอื่นลงไปเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม คงไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนใดที่ยอมตัดวาระของตัวเองอย่างชัดเจนเสนอทางออกให้มีการเลือกตั้ง แล้วก็ท่ามกลางภาวะซึ่งถูกกดดันมาก เพราะว่ามีคนที่ไม่พอใจกับการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย แล้วไปสร้างความเดือดร้อน ก็ใช้ความอดทนอดกลั้น แล้วก็มีนโยบายชัดเจน ที่ไม่เข้าไปสลายพื้นที่การชุมนุมหลักเพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นแนวทางซึ่งเราทำ แล้วเราก็ได้พยายามทำอย่างดีที่สุด แล้วเราก็ได้แสดงความเสียใจ เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าเราก็รู้ครับว่าการทำงาน การปฏิบัติหน้าที่แล้วมันเกิดความสูญเสียขึ้นโดยไม่มีใครอยากให้เกิด การที่นายธาริต หรือใครก็ตามพยายามที่จะมาสรุป หรือจะมาบิดเบือนว่าเป็นเรื่องของการเจตนา ที่จะทำให้เกิดความสูญเสียนั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริง แล้วก็ คุณธาริตเองซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุม ศอฉ. ผมว่าน่าจะมีความละอายบ้าง เพราะรู้ก็รู้ว่า เจตนาของผู้ที่เกี่ยวข้องตรงนั้นคืออะไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าบ้านเมืองก็ต้องอยู่กับกระบวนการยุติธรรม ถ้าตนไม่ได้ยึดถือหลักการของบ้านเมือง ตนก็คงไม่พยายามที่จะให้ข้อเท็จจริงต่างๆ มันปรากฏ แล้วก็การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการตั้ง คอป.ก็ดี รวมไปจนถึงเรื่องของการทำคดีอะไรต่างๆ ตนไม่เคยเข้าไปแทรกแซง แล้วก็ต้องการให้มันเดินหน้าตรงไปตรงมา แต่ว่าเวลาที่พนักงานสอบสวน หรือหน่วยงานที่สอบสวนนั้น กลับมาแสดงความคิดเห็นตั้งธงเสียเอง แล้วก็แกล้งลืมข้อเท็จจริงที่ตัวเองเคยทำไว้ แล้วก็ส่งอัยการ ส่งฟ้องศาลไปแล้ว ในหลายคดี ก็เป็นเรื่องที่จะต้องจับตาดูว่าจะทำกันอย่างไร แต่ว่าตนก็จะต่อสู้ไปตามระบบ ตามกระบวนการของกฎหมาย
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) จะเดินทางมาพบที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ไม่ได้มีการนัดหมายมา ตนก็จะประชุมเรื่องของภาคใต้กับ ส.ส.ที่เกี่ยวข้อง เพราะว่าจะเตรียมในการที่จะเข้าไปพบปะกับทางนายกฯ แล้วก็รัฐบาลในช่วงบ่าย ก็มายื่นหนังสือ ก็เดี๋ยวคงมีเจ้าหน้าที่มารับได้ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า ผบช.น.ประกาศพาลูกน้องไปพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คือไม่ใช่ว่าใครจะไปกับตนอย่างนั้น มีการสั่งการไปขณะนี้ตาม สน.ต่างๆ เกณฑ์กันมา สน.ละ 20 นาย ตนก็อยากจะให้เห็นว่าจะได้รู้ว่าตำรวจซึ่งมีตำแหน่งที่มีความสำคัญนั้นมีสปิริตหรือมีความรักความสงบในบ้านเมืองหรือไม่ ในการที่จะทำอะไรอย่างนี้
“คือถ้าอยากจะมาร้องเรียน ชี้แจง ก็ทำได้นะครับ แต่ว่าก็ควรจะดูว่าความเหมาะสมในรูปแบบที่จะทำคืออะไร ส่วนการไปเกณฑ์เจ้าหน้าที่มานั้น ผมก็บอกว่าวันนี้ตำรวจถ้าเกิดมากันตามที่เกณฑ์เป็นพันนาย ผมก็ถามว่าไม่มีงานจะทำเหรอครับ ที่จะต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ให้กับพี่น้องประชาชน น่าจะลองพิจารณาละครับว่าตกลงทำงานเพื่อใครครับ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามถึงข้อสรุปของ คอป. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้อ่าน เพราะว่าเมื่อวานนี้ก็ฟังแถลงข่าวอยู่ ประมาณ 2 ชั่วโมง และเนื้อหาสาระค่อนข้างเยอะ คงจะต้องอ่านตัวรายงานที่เป็นฉบับสมบูรณ์ที่จะมีการเผยแพร่อีกรอบหนึ่ง ซึ่งก็คิดว่า คอป.ได้พยายามอย่างดีที่สุดในการที่จะรวบรวมข้อเท็จจริง แล้วก็มีการศึกษาวิจัยถึงปัญหาต่างๆ ตนว่าคนที่อ่านรายงานก็ ทุกคนก็คงมีประเด็นที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย แต่ว่าสิ่งที่ คอป.เน้นย้ำเมื่อวานก็คือว่าอยากให้ทุกฝ่ายนั้นเปิดใจกว้าง แล้วก็ค่อยๆ นำรายงานนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางที่เกิดความปรองดอง เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นโจทย์สำคัญสำหรับทุกฝ่าย ซึ่ง คอป.เขาก็เน้นอยู่แล้วว่าทุกฝ่าย ตนก็คงต้องเอาตัวรายงานทั้งหมดมาดู แล้วก็ดูว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา อำนาจหน้าที่ต่างๆ แล้วก็แนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ เรามีอะไรที่แต่ละฝ่ายจะทำได้บ้าง
เมื่อถามว่า หากไม่ได้ยินสัญญาณอะไรจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจจะมีเพียงคนเสื้อแดง และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุ คอป. ไม่ใช่ศาลที่จะชี้ถูกชี้ผิด กลายเป็นว่าบทสรุปของ คอป. จะสูญเปล่าไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตรงนี้คือปัญหาว่า ถ้าเกิดทุกฝ่ายแทนที่จะพยายามมาดู แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหาสร้างความปรองดอง แต่ว่าอะไรไม่ถูกใจก็โวยวายดิสเครดิตอย่างเดียวคงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ แล้วก็ถ้ารัฐบาลเองมีนโยบายว่าจะปรองดอง ถามว่าการแสดงท่าทีอย่างที่ทำกันอยู่นี้มันใช่หรือเปล่า แล้วก็ขณะเดียวกันต้องบอกว่านายกรัฐมนตรีได้พูดในหลายโอกาสรวมทั้งการชี้แจงแถลงนโยบายต่อสภาด้วยว่าจะได้ใช้ คือหมายความว่ายอมรับการทำงานของ คอป. แล้วก็ที่ผ่านมา เวลา คอป.เสนอบางเรื่องก็หยิบเขาไปอ้าง อย่างเช่นการเยียวยา ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ทำตรงตามที่เขาเสนอ แต่ว่าก็หยิบเขาไปอ้าง เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายก็ต้องมาช่วยกันพิจารณา จะไปบอก คอป.ถูกทั้งหมดคงไม่ได้ แต่ว่าต้องเริ่มต้นจากท่าทีก่อนว่าการมีรายงานซึ่งเรียกร้องให้หลายฝ่ายทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องมาช่วยกันดูนั้นก็ต้องเริ่มต้นจากการที่จะเปิดรับความเห็นความจริงที่เขานำเสนอเสียก่อน
เมื่อถามว่า คิดว่าข้อเสนอของ คอป.ควรจะต้องมีคณะทำงานเพื่อพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คือ คอป.คงจะต้องรายงานกับตัวนายกรัฐมนตรี แล้วก็ ครม. แต่ว่า ครม.นั้น ไปตั้ง ปคอป.เอาไว้ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยได้ดำเนินการตามแนวทางของ คอป.อย่างเคร่งครัดเสียเท่าไหร่ กลับเลือกบางสิ่งบางอย่าง หยิบบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเป็นวาระของรัฐบาลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องดูครับว่า ครม.ทำยังไง ถ้าส่งไปที่ ปคอป. ก็หวังว่า ปคอป.จะเคารพในตัวรายงานแล้วก็เจตนามากกว่าที่จะมีวาระของตนเอง
ส่วนข้อเสนอ 13 ข้อของ คอป.นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในภาพรวมนั้นตนก็คิดว่ามีประโยชน์นะครับ แต่ตนต้องไปดูรายละเอียดอีกทีว่าแต่ละข้อเขียนอะไรอย่างไร เพราะว่าเมื่อวานนี้ในการแถลงนั้นก็จะเป็นการสรุปกว้างๆ มากกว่า ซึ่งตนคิดว่าถึงแม้ว่า คอป.จะหมดวาระแล้ว แต่ว่าเนื่องจากงานนี้เป็นงานที่มีประเด็น และมีฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเยอะ ตนก็คิดว่า คอป.คงจะต้องมีระบบในการที่จะทำความเข้าใจ ชี้แจง แล้วก็อาจจะต้องติดตามบางสิ่งบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เพราะว่าเมื่อวานนี้ดูทาง คอป.ก็กังวลเหมือนกันว่าจะมีการหยิบด้านใดด้านหนึ่งส่วนใดส่วนหนึ่งของรายงานไป แล้วแทนที่จะไปทำเพื่อความปรองดองก็อาจไปเพิ่มความขัดแย้งเสียอีก