หัวหน้าประชาธิปัตย์รอดูรายงาน คอป.ก่อน วอนทุกฝ่ายเปิดใจ แนะสังคมเรียนรู้หาแนวทางสู่ปรองดอง ฉะ “ธิดา” ตั้งแง่ปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ถูกใจจะเป็นปัญหา จี้หาข้อมูลมาหักล้าง หนุนรัฐเอาข้อมูลไปพิจารณา ดักคอ ตร.อย่าละเลยนำไปใช้ในสำนวนคดีด้วย พร้อมรอดูคำสั่งศาลคดีแท็กซี่แดง โต้คนละเรื่องกับให้ไปฆ่าคน จวกคนสอบมีธงจะหาความจริงไม่ได้ ระบุนำไปโยงคดีอื่นก็ไม่ได้ ข้องใจ “ธาริต” ถูกชี้นำหรือไม่
วันนี้ (17 ก.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงรายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คปอ.) ที่มีการเสนอรายงานต่อสาธารณะว่า ได้ติดตามจากข่าวแต่คงต้องดูรายงานฉบับสมบูรณ์ก่อนจึงจะให้ความเห็นได้ เนื่องมีความยาวเกือบ 300 หน้า และมีความเกี่ยวพันกันหมด ทั้งข้อเท็จจริง การวิจัยสาเหตุ รากเหง้าปัญหา มาจนถึงข้อเสนอแนะ แต่อยากให้ทุกฝ่ายเปิดใจกว้าง เพราะ คอป.มีความตั้งใจในการทำงานสืบค้นข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการสะท้อนให้เห็นปัญหาภาพรวม ซึ่งอาจจะขาดหายไปเวลาที่มีการถกเถียงกัน ทั้งนี้เห็นว่าสังคมควรจะได้เรียนรู้จากรายงานของ คอป.เพื่อร่วมกันค้นหาแนวทางที่จะนำไปสู่ความปรองดอง ก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ เพราะการสร้างความปรองดองไม่ใช่เป็นเรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่สามารถทำได้สำเร็จโดยฝ่ายเดียว สังคมต้องช่วยกันและต้องดูข้อเสนอของ คอป.ว่าครอบคลุมอย่างใดบ้าง
ส่วนกรณีที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ แกนนำ นปช.ออกมาแสดงความเห็นไม่ยอมรับต่อรายงานของ คอป.โดยระบุขาดความน่าเชื่อถือนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเห็นว่าหากแต่ละฝ่ายอะไรถูกใจก็ยอมรับ อะไรไม่ถูกใจก็ปฏิเสธ หรือทำลายความเชื่อถือก็จะเป็นปัญหาความปรองดองคงเกิดขึ้นไม่ได้ ยกเว้นมีความชัดเจนระบุได้ว่า คอป.ไม่น่าเชื่อถือเพราะอะไร มีอะไรมาหักล้างสิ่งที่ คอป.นำเสนอก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และรัฐบาลก็ควรให้น้ำหนักกับรายงานของ คอป.เพราะเขียนในนโยบายและนายกฯ ก็แถลงหลายครั้ง ว่าจะยอมรับการทำงานของ คอป. จึงควรเอาข้อเสนอแนะไปพิจารณา
สำหรับกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ออกมาระบุไม่มีชายชุดดำและสิ่งที่ คอป.ตรวจสอบไม่ใช่บทสรุปเพราะไม่ใช่พนักกงานสอบสวนนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าพนักงานสอบสวนควรนำข้อค้นพบของ คอป.ไปใช้ในสำนวนคดี จะละเลยคงไม่ได้ เพราะถ้าละเลยก็เหมือนกับจงใจที่จะละเว้น
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีคำสั่งศาลอาญาที่ระบุว่าการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ระหว่างการเข้าควบคุมพื้นที่ของเจ้าหน้าที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ตนได้ติดตามข่าวอยู่ แต่ยังไม่เห็นคำสั่งของศาลฉบับเต็ม ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม โดยจากขั้นตอนนี้จะส่งกลับไปยังพนักงานอัยการ และพนังงานสอบสวน ซึ่งต้องว่าไปตามกระบวนการ ส่วนกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาระบุจะดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรมนั้น ตนต้องถามว่านายธาริตเห็นคำสั่งศาลครบถ้วนแล้วหรือยัง ซึ่งตนจะได้ดูการใช้อำนาจของฝ่ายต่างๆ ว่าเป็นไปตามกระบวนการหรือไม่ เพราะศาลก็ระบุว่า ศอฉ.มีคำสั่งให้เข้าไปควบคุมพื้นที่ คนละประเด็นกับการกล่าวหาว่ามีคำสั่งให้ไปฆ่าคน หรือทำให้เกิดความสูญเสีย จึงต้องดูสภาวะแวดล้อม พฤติกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวน แต่ถ้าคนที่สอบสวนมีธงโดยไม่สะท้อนความจริงคงไม่ได้ และไม่สามารถนำคดีนี้ไปเป็นบรรทัดฐานกับกรณีอื่นๆ ว่าเป็นเรื่องฆาตกรรมได้ เนื่องจากแต่ละกรณีเอามาผูกโยงไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ไม่ได้เกิดสถานที่เดียวกัน หรือเวลาเดียวกัน ซึ่งในกรณีของนายพัน ศาลระบุว่าการเสียชีวิตน่าจะเกิดจากช่วงที่มีการยิงรถตู้ ซึ่งจะนำไปใช้กับอีก 30 กรณีที่ดีเอสไอตั้งเรื่องคงไม่ได้
เมื่อถามว่า ดีเอสไอกำลังทำสำนวนให้ไปสอดรับกับข้อกล่าวหาทางการเมืองต่อนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของฝ่ายคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเห็นว่านายธาริตพูดตามที่ฝ่ายการเมืองฝ่ายโน้นพูดมาก่อนหน้านี้ ตนก็ข้องใจอยู่ว่าเป็นการชี้นำหรือไม่ ทั้งนี้ตนก็จะดูหนทางที่จะรักษาสิทธิตามกฎหมาย เพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนจะดูว่าการดำเนินการต่อจากนี้ไปมีการให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายหรือไม่ ส่วนจะมีการนำเรื่องนี้ไปขยายผลหรือไม่นั้น ตนก็คิดว่ากลุ่มที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองคงพยายามที่จะนำไปขยายผล แต่จะยิ่งเป็นปัญหาว่าสุดท้ายก็ยังไม่พยายามที่จะค้นหาความจริงเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง แต่ยังพยายามที่จะสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง