xs
xsm
sm
md
lg

“ถวิล” ให้การ DSI ยันมีกองกำลังแฝง “แดง” ยิงใส่ จนท.-ย้ำ ศอฉ.ไม่เคยสั่งสลายชุมนุม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เข้าให้การต่อดีเอสไอ เมื่อ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา
“ถวิล” ให้การเพิ่มเติม ดีเอสไอ ยันกระชับพื้นที่เสื้อแดง พ.ค.53 เพราะมีการยิงออกมาจากสวนลุมพินี เจ้าหน้าที่ไม่ได้มุ่งหมายสลายการชุมนุม เพียงต้องการโอบล้อมเข้าไป ลั่นความจริง 100 ปี ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ “ประเวศน์” อ้างเฉย ไม่รู้ว่าชายชุดดำคืออะไร ส่วนกองกำลังพระเจ้าตากไม่มีภาพว่าติดอาวุธไปยิงคน


ความคืบหน้าคดีคนเสื้อแดงเสียชีวิต ระหว่างการชุมนุมก่อจลาจลช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปี 2553 เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เดินทางเข้าให้การต่อ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและประชาชน 91 ศพ ในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง เม.ย.-พ.ค.2553

นายถวิล กล่าวว่า ตนมาเล่าความจริง เรื่องเกิดขึ้น 2 ปีเศษ เรื่องก็ไม่น่าเปลี่ยน จะอีก 10 ปี 100 ปี เชื่อว่า เรื่องจะไม่เปลี่ยน แต่คนไทยความจำสั้น แต่ก็เป็นข้อดี ที่ทำให้คนไทยประนีประนอม ไม่โกรธแค้น ให้อภัยกันง่าย แต่บางเรื่องเป็นมาตรฐานของสังคม เป็นเรื่องของความถูก ความผิด ความดี ความไม่ดี ก็อยากให้คนไทยมีความจำที่ยาว ไม่เช่นนั้นมาตรฐานความถูกผิดจะสับสน รุ่นเราไม่เป็นไร แต่รุ่นลูกหลานบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้

“ผมมาตอกย้ำความจริงวันนั้นว่าคืออะไร และชื่อว่าทหารก็ยังจำได้ แนวทางการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ควรมีแนวทางเดียว ไม่ควรกลับไปกลับมา มีแก่นของเรื่อง ที่เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ โดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การออกไปปราบปรามประชาชน ถ้าจะมีอุบัติเหตุ มีเรื่องการตายเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ก็ว่ากันไปตามนั้น แต่ไม่ได้กลับข้างเป็นเรื่องการปราบปรามประชาชน อย่างนั้นมันผิด เหมือนกับว่ารัฐบาลที่แล้วให้แนวทางการสอบสวนเป็นแบบหนึ่ง รัฐบาลนี้ให้การสอบสวนเป็นอีกแบบหนึ่ง แล้วความจริงมันอยู่ตรงไหน ต้องกลับไปหาความจริง ผมมั่นใจในกรมสอบสวนคดีพิเศษ และมั่นใจในนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ว่าจะทำเรื่องนี้ให้ตรงไปตรงมา แม้จะเปลี่ยนพนักงานสอบสวน แต่ความจริงก็คือความจริง”

นายถวิล กล่าวว่า ส่วนพยานหลักฐานตนให้พนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว แต่จะมาเน้นย้ำให้ตรงกัน ทั้งนี้ เหตุผลการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เพราะมีการชุมนุมต่อเนื่องยาวนาน ระหว่างการชุมนุม มีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีเหตุยิงเอ็ม 79 และระเบิดขว้าง โดยเฉพาะพื้นที่ตรงสวนลุมพินี แยกศาลาแดง เป็นจุดที่มีเหตุยิงอาวุธจากในพื้นที่สวนลุมพินีบริเวณที่ผู้ชุมนุมไปตั้งค่ายประตูกลตรงนั้นไว้ ยิงมาบ่อยมาก เจ้าหน้าที่ต้องกระชับพื้นที่เข้าไป โดยเคลื่อนกำลังเข้าไปทางศาลาแดง เป็นพื้นที่เกิดเหตุมากที่สุด โดยไม่ได้มุ่งหมายสลายการชุมนุม เพียงแต่โอบล้อมเข้าไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทหารคุมพื้นที่รอบราชประสงค์ไว้หมดแล้ว ชายชุดดำจะเข้าไปได้อย่างไร นายถวิล กล่าวว่า ทหารคุมพื้นที่ไว้หมดไม่จริงแน่นอน เพราะน้ำ อาหาร ยังเข้าในที่ชุมนุมได้จำนวนมาก ไม่มีความสมบูรณ์ในการคุมพื้นที่ สังเกตจากจำนวนผู้ชุมนุม เพราะตอนเช้าเหลือ 2-3 พัน ตอนเย็นผู้ชุมนุมเพิ่มเป็นหมื่น ทั้งที่มีการคุมพื้นที่ไว้ ดูสิเข้าไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้หลายสัปดาห์

ขณะที่ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงแนวทางการสอบสวนหาเบาะแสชายชุดดำ ว่า เรื่องชายชุดดำดีเอสไอพยายามหาข้อเท็จจริง คำว่าชายชุดดำ ตนไม่เข้าใจว่าอะไร ถ้าเป็นคนใส่ชุดดำแล้วก่อเหตุทุกคน จะไปเหมารวมแบบนั้นไม่ได้ ต้องหาคนที่ยิงทำร้ายประชาชนหรือทหาร โดยฝ่ายประชาชนที่ถูกยิงมีคลิป ข่าว มีภาพหลักฐานข้างวัดปทุมวนาราม บริเวณบ่อนไก่ หรือซอยรางน้ำ ที่มีคนตายเยอะ ก็ไม่ปรากฏว่ามีชายชุดดำถืออาวุธไปยิงฝ่ายทหาร หรือฝ่ายผู้ชุมนุม แล้วถ้าเป็นคนอื่นที่แต่งกายชุดทหาร ทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นทหาร ส่วนทหารก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ จึงได้ไปรวบรวมภาพที่มีการแต่งกายคล้ายทหารที่มีอาวุธปืนมาให้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ดูภาพก็เกิดปัญหาบางภาพไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นทหารหรือไม่ แล้วอย่างนั้นแสดงว่าทหารไม่มีเครื่องหมายบอกฝ่าย ก็เป็นปัญหาใหญ่ บางทีชายชุดดำก็ไม่ดำสนิทก็ได้

พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ส่วนกองกำลังพระเจ้าตาก ไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มนี้ไปติดอาวุธยิงคน ไม่เคยเห็นภาพ ไม่มีทหารคนไหนบอก ถ้ามีคนยิงชาวบ้านจะไม่โวยวายเป็นไปได้อย่างไร จึงตั้งข้อสังเกตพยายามพิสูจน์ความจริง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ เพราะภาพที่ส่งมาเป็นคนชุดดำแต่งกายคล้ายทหารพรานที่ยืนถ่ายรูปอยู่ข้างหลัง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง และไม่มีหลักฐานว่าคนพวกนี้ไปก่อเหตุ

ด้านเว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายถวิล กล่าวหลังจากเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอโดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ว่า ดีเอสไอเรียกมาสอบปากคำในฐานะพยาน โดยก่อนเริ่มสอบปากคำได้ขอให้พนักงานสอบสวนทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เปลี่ยนแนวทางตามรัฐบาลแต่ละชุด และยังเชื่อมั่นใจในเกียรติของข้าราชการ พร้อมกันนี้มั่นใจการทำงานของรัฐบาลในขณะนั้น ว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายให้อำนาจไว้ และใช้ความระมัดระวัง พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่การปราบปรามประชาชน และการดำเนินการครั้งนั้นไม่มีคำสั่งให้สลายการชุมนุม แต่เป็นการขอพื้นที่คืน เพื่อเปิดการจราจรให้ประชาชน จากนั้นจึงค่อยกระชับวงล้อมในพื้นที่ราชประสงค์ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้ผู้ร่วมชุมนุมที่กลับออกไปไม่สามารถเข้ามาร่วมชุมนุมได้อีก ส่วนการตัดสินใจสลายการชุมนุมเป็นการตัดสินใจของแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เอง

“การเข้าให้ปากคำครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกลำบากใจ เพราะเป็นการให้ข้อมูลไปตามข้อเท็จจริง แม้จะทำงานร่วมกับฝ่ายการเมือง แต่เป็นการทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน ไม่ใช่การเมือง การที่เจ้าหน้าที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ เป็นเพราะบ้านเมืองถูกคุกคาม มีการก่อความไม่สงบ เริ่มต้นตั้งแต่ 12 มี.ค.-19 พ.ค.2553 ถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ประชาชนได้รับผลกระทบในการดำรงชีวิต ยอมรับว่าในการลงพื้นที่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องพกอาวุธ เพราะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธต่อสู้ออกมาตลอดโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในที่ตั้ง จึงไม่สามารถพกปืนฉีดน้ำเข้าไปปฏิบัติงานได้” นายถวิล กล่าว

นายถวิล กล่าวด้วยว่า ระหว่างการสอบปากคำได้ขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีดังกล่าวด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ในภาวะที่การเมืองมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงไม่ควรนำเรื่องการเมืองมามีส่วนในการตัดสินใจ พร้อมขอให้พนักงานสอบสวนทำงานอย่างมืออาชีพ ในส่วนของคำสั่งในการปฏิบัติการเป็นเรื่องในทางเทคนิคที่แต่ละหน่วยงานจะรับไปดำเนินการ บางเรื่องก็มีชั้นความลับ จึงไม่สามารถทราบทุกเรื่อง สิ่งที่ยืนยันได้ คือ ไม่มีคำสั่งให้สลายการชุมนุม และไม่มีคำสั่งให้เอาชีวิต โดยเฉพาะแกนนำผู้ชุมนุมที่เจ้าหน้าที่ต้องดูแลอย่างดี เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับแกนนำรัฐบาลคงอธิบายได้ลำบาก
กำลังโหลดความคิดเห็น