ผ่าประเด็นร้อน
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญว่าเพียงแค่เวลา 1 ปีเศษที่รัฐบาลภายใต้การนำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะทำให้ชาวบ้านได้เห็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าภายใต้ “เนื้อใน” ของคณะบุคคลที่ประกอบกันเป็นรัฐบาลถึงได้ “ห่วยแตก” เพียงนี้
ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าเวลาเพียงแค่นี้อาจยังไม่ถึงกับทำให้คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ตาสว่าง” กับความเดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ตัวเองกำลังประสบอยู่ เพราะที่ผ่านมามีการปลุกระดมกันมาอย่างต่อเนื่อง และข้างเดียวตลอดเวลา แต่รับรองว่าหากใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ในที่สุดความจริงก็จะทยอยปรากฏให้เห็น ถึงแม้ว่าจะพยายามกลบเกลื่อนปิดบังด้วยการถม “ประชานิยม” กันแบบเสพติดมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม แต่ปัญหาก็คือต่อไปนี้ทุกโครงการประชานิยมมันต้องใช้ “เงิน” ซึ่งมันก็ไม่หมูเหมือนก่อน อย่างน้อยก็ไม่เหมือนยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่ตอนนั้นบ้านเมืองเพิ่งผ่านพ้นจาก “วิกฤตต้มยำกุ้ง” กลับมาสู่ยุคขาขึ้นอีกรอบก็พอมีเงินใช้จ่าย
แต่ในอนาคตวิกฤติรอบใหม่กำลังมา ที่เห็นๆ ก็มียูโรโซน สหรัฐอเมริกา ที่ภาคเอกชนหวาดผวากันว่าปีหน้าจะหนักหนาสาหัส และข่าวร้ายล่าสุดก็คือความถดถอยทางเศรษฐกิจในจีน และแน่นอนว่าเพียงแค่นี้ก็พอหลับตานึกภาพออกแล้วว่าไทยจะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน โดยเฉพาะเศรษฐกิจของเรายังต้องพึ่งพาการส่งออกในอัตราสูง แม้ว่าจะพยายามแก้ปัญหาด้วยการ “กระตุ้นภายใน” ก็อาจได้ผลบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความจริงว่า “ขนาดเศรษฐกิจ” ของเรามันเล็กนิดเดียวในระยะสั้นอาจยังปรับตัวไม่ทัน
ที่สำคัญเราไม่เคยสอนให้พึ่งพาตัวเอง เน้นแต่เรื่องกู้สร้างหนี้หรือไม่ก็ “คอยแบมือขอ” เป็นหลัก ประกอบกับทั้งรัฐบาล และกลไกรัฐมีแต่เรื่องฉ้อฉล ไร้ประสิทธิภาพทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายเกิดคาดคิด
ล่าสุด มีการประกาศรวมพลังกันของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันจำนวน 42 องค์กร ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการต่อต้านคอร์รัปชันในภาครัฐ และนโยบายของรัฐบาลนั่นแหละ อย่างไรก็ดี แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเราคงไม่อาจคาดหวังอะไรได้มากนัก เพราะในอีกมุมหนึ่งก็ปฏิเสธความจริงไปไม่พ้นว่าสาเหตุที่ทำให้การทุจริตคอร์รัปชันลุกลามกัดกินสังคมไทยจนอ่อนเปลี้ยทุกวันนี้เป็นเพราะมีนักธุรกิจ ภาคเอกชนไม่น้อยที่สมยอม ยอมจ่ายใต้โต๊ะสร้างวัฒนธรรมอุบาทว์ขึ้นมาก่อน หรือไม่ก็ร่วมมือกันสมประโยชน์
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการตื่นตัวอย่างที่เห็น อย่างน้อยก็เป็นนิมิตหมายที่ดี ต้องให้การสนับสนุนเต็มที่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหากยังนิ่งเฉยก็จะยิ่ง “จ่ายเพิ่ม” ขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด จนลักษณะเหมือนกับ “เกินขีดความอดทน” หากปล่อยเอาไว้ต่อไปจะหายนะแน่นอน
ที่น่าจับตาก็คือ ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีกระแสในทางบวกมากขึ้น หากสังเกตจากการที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์กรณีการโยกย้าย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ จากเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากเห็นว่าเป็นการลงโทษหลังจากเข้าไปตรวจสอบและเปิดโปงโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนในภาคอีสานพบว่าทุกโครงการที่เข้าไปตรวจสอบล้วนมีการทุจริตทั้งสิ้น
สอดคล้องกับตัวเลขของทางภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันที่ระบุถึงการทุจริตในสองโครงการหลักของรัฐบาลก็คือนอกเหนือจากโครงการบริหารจัดการน้ำฯ ที่ใช้งบเงินกู้ฉุกเฉินจำนวน 3.4 แสนล้านบาทที่มีเรื่องการหัก “ค่าหัวคิว” ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าโครงการแล้ว ยังมีการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายแล้วนับแสนล้านบาท อีกทั้งยังทำให้ไทยต้องส่งออกข้าวลดลงกว่าร้อยละ 50
ภาพที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าล้วนสร้างผลลบให้กับรัฐบาล และมีแนวโน้มกลายเป็นประเด็นใหม่เพิ่มขึ้นมาสมทบ หลังจากก่อนหน้านี้ภาพของความล้มเหลว “ห่วยแตก” จากการไร้ฝีมือในการบริหาร สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านทุกเรื่อง ยกเว้นแต่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือญาติในครอบครัวเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกมองว่าเสวยสุขได้ประโยชน์
อีกทั้งการโยกย้ายข้าราชการประจำปีนี้ ก็น่าจะเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวกมากกว่าคราวก่อน และเสียงที่ดังและมีน้ำหนักเป็นเพราะมีการเปิดโปงกันเอง ไม่ใช่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีจากภายนอก ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเงื่อนไขของรัฐบาลในอดีตที่นำไปสู่หายนะมีเรื่องหลักๆ อยู่ไม่กี่เรื่องก็คือ ไร้ประสิทธิภาพสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน เล่นพรรคเล่นพวก คอร์รัปชัน นั่นก็แสดงว่าองค์ประกอบของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีอยู่ครบถ้วนตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว นับวันมีแต่แนวโน้มถดถอยลง ใกล้นับถอยหลังเต็มทีแล้ว!!