xs
xsm
sm
md
lg

ความผิดของ“พลอย เฌอมาลย์” ผิดที่ไม่ใช่ “ชินวัตร –ดามาพงศ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องของ “พลอย” เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ มีพฤติกรรมที่ส่อว่า จะเลี่ยงภาษีนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก และเป็นพฤติกรรมปกติของผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทบทุกคน ถ้ามีช่องทางให้เลี่ยงภาษีน้อยลง หรือไม่ต้องเสียก็จะทำกัน ทั้งช่องทางที่กฎหมายเปิดช่องให้ เช่น บริจาค ซื้อประกัน ซื้อกองทุน ฯลฯ หรือช่องทางที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย อย่างแจ้งรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือไม่แจ้ง

อย่าดัดจริตว่า เกิดเป็นคนไทย มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้ครบถ้วน

คนที่เสียภาษีอย่างถูกต้อง คือคนที่ไม่มีช่องทางที่จะเลี่ยงภาษีได้ คือ พวกมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที คำพูดที่ว่า พลเมืองดีมีหน้าที่เสียภาษีนั้น เป็น white lies ที่พูดกันไป ตามหลักการที่ควรจะเป็นเท่านั้น

กรณีของ“พลอย” เธอประหยัดภาษีไปได้แค่ 3,000 บาทเท่านั้น แทนที่จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราสำหรับอาชีพนักแสดงคือ 5% จากรายได้ 150,000 บาท เท่ากับ 7,500 บาท เธอใช้บัตรประชาชนของผู้อื่นไปเป็นหลักฐานในการหักภาษี เพื่อเสียภาษีในอัตราค่าจ้างทั่วไป คือ 3% จากรายได้ 150,000 บาท คือ 4,500 บาท ซึ่งต่อมาเธออ้างว่า เป็นความผิดพลาดของผู้ดูแลด้านการเงินที่ส่งบัตรประชาชนผิดไปให้บริษัทออร์กาไนเซอร์ ที่ว่าจ้างเธอ

เงินแค่ 3,000 บาทนั้น ไม่มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับการหลบเลี่ยงหนีภาษี ของคนรวย ที่มีอำนาจทางการเมืองคอยปกป้องคุ้มครอง คนพวกนี้โกงภาษีกันเป็นร้อยๆ ล้าน โดยไม่มีความผิด เพราะกระบวนการยุติธรรมและกรมสรรพากรยกเว้นให้ เนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพลบารมี


ยังจำกันได้ไหม คดีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ และนางกาญจนาภา หงษ์เหิร ถูกฟ้องศาลคดีเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นชินคอร์ป ศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุกนายบรรณพจน์ และคุณหญิงพจมานคนละ 3 ปี และนางกาญจนภา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน ยกฟ้องคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า นายบรรณพจน์มีความผิดฐานเลี่ยงภาษีจริง แต่ให้ลดโทษจำคุกเหลือ 2 ปี ปรับ 1 แสนบาทโทษจำรอลงอาญา 2 ปี เพราะว่านายบรรณพจน์มีคุณงามความดีคือเคยบริจาคเงินให้มูลนิธิไทยคม

คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว เพราะสำนักงานอัยการสูงสุดไม่ยอมฎีกา อ้างว่า เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ทั้งๆ ที่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ขัดแย้งกับศาลชั้นต้น และนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานศาลอุทธรณ์ในขณะนั้น มีความเห็นแย้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลอุทรณ์ว่า ไม่ควรรอลงอาญาโทษจำคุกนายบรรณพจน์ เพราะเงินภาษีที่เลี่ยงไม่จ่ายนั้นสูงถึง 273 ล้านบาท แต่สุดท้ายคดีก็จบลงไปแล้ว ด้วยข้อสรุปว่า นายบรรณพจน์เลี่ยงภาษี 273 ล้านบาทจริง มีความผิด แต่ไม่ต้องติดคุก โดนปรับแค่แสนเดียว และไม่ต้องเสียภาษี 273 ล้านบาท บวกค่าปรับอีก 1 เท่าเป็นเงิน 546 ล้านบาทให้กรมสรรพากรแม้ศาลจะชี้ว่าเลี่ยงภาษีจริง เพราะคดีหมดอายุความแล้ว

นายบรรณพจน์ประหยัดค่าภาษีไปได้ 272 ล้าน 9 แสนบาท เพราะนามสกุลดามาพงศ์ เป็นพี่ชายคุณหญิงพจมาน จึงได้รับการดูแลจากกรมสรรพากร และอัยการสูงสุดเป็นอย่างดี

คนอย่างพลอย เฌอมาลย์ และ นาย ก. นาย ข.อย่าได้เลียนแบบเป็นอันขาดถึงแม้จะโกงภาษีเพียงแค่ 3,000 บาท แต่โดนสรรพากรเอาตายแน่ เพราะ ไม่ได้มีนามสกุล ชินวัตร หรือ ดามาพงศ์

นอกจากห้ามลอกเลียนแบบแล้วต่อจากนี้ไป ประชาชนตาดำๆ ที่กรมสรรพากรบอกว่า มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้รัฐ พึงระวังตัวให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่รายได้จากการรับจ๊อบ ประกอบอาชีพอิสระ เพราะกรมสรรพากรกำลังจะจ้างคนเพิ่มอีก 2,300 คน และลงทุนระบบไอทีอีก 2 พันล้านบาท เพื่อรีดภาษีเพิ่มขึ้นอีกปีละ 4 แสนล้านบาท


ใครที่ถูกรีดภาษีเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม พ่อค้าแม่ค้า ดารานักแสดง นักเขียน ฯลฯ พึงรับรู้ไว้ด้วยว่า เงินภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่ม หรืออาจจะต้องถูกเรียกจ่ายย้อนหลัง หากหัวหมอ ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหน้าที่สรรพากร นอกจากจะถูกนำไปใช้อุดหนุนโครงการบ้านหลังแรก รถคันแรก โครงการจำนำข้าว ฯลฯ เพื่อรักษาคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังเป็นภาษีที่ต้องจ่ายแทนบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างเช่น เครือปูนใหญ่ฯ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปตท. เครือซีพี เครือเสี่ยเจริญ แกรมมี่ ฯลฯ เพราะรัฐบาลนี้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปี ภาษี 2555 และจะลดเหลือ20 % ในปี 2556 ซึ่งจะทำให้ภาษีเงินได้จากบริษัทเหล่านี้ หายไปอย่างน้อย 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท ในช่วงปี 2555-2557 กรมสรรพากรจึงต้องรีดภาษีจาก นาย ก. นายข . เก็บเล็กผสมน้อย รายละหลักพัน หลักหมื่น มาชดเชย

ปตท.แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีนี้ต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า มีกำไรสุทธิ 37,385 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสแรกของปี 2554 ซึ่งมีกำไร 34,922 ล้านบาท ส่วนหนึ่งของกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการจ่ายภาษีเงินได้ที่ลดลง 1,297 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพแจ้งว่า มีภาระภาษีเงินได้ลดลงถึง 263 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กำไรสุทธิของธนาคารในไตรมาสแรกปีนี้สูงถึง 8,084 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีกำไร 5,912 ล้านบาท

ซีพี ออลล์ แจ้งว่า ไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิ 2,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 32.4% เป็นผลจากการขยายสาขาร้าน 7-Eleven รวมทั้งจากยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาเพิ่มขึ้น และผลจากการปรับลดอัตราภาษีเงินได้ ทำให้แม้ว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่ภาระค่าภาษีเงินได้ของบริษัทยังคงลดลง 74.53 ล้านบาท

รัฐบาล โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อ้างว่า การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก 30% เหลือ 23% และเหลือ 20% ในปีหน้า จะช่วยขยายการลงทุน ของภาคเอกชน ทำให้รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น หักลบกลบกันกับภาษีที่ลดลงไปรัฐจะมีรายได้มากขึ้น แต่การที่กรมสรรพากรกำลังรีดภาษี นาย ก. นาย ข.อยู่ทุกเม็ดในเวลานี้ การเพิ่มอัตรากำลังอีก 2,300 คน เพื่อเก็บภาษีเพิ่มให้ได้ 4 แสนล้านบาท เป็นข้อเท็จจริงที่ฟ้องว่า นายกิตติรัตน์ white lied อีกแล้ว สิ่งที่รัฐบาลได้ทำลงไปคือ ลดภาษีให้บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ และรีดภาษีจากประชาชน ไม่ต่างอะไรจากการปล้นคนจนเพื่อเอาเงินไปช่วยคนรวย
กำลังโหลดความคิดเห็น