โฆษกรัฐบาลเผยที่ประชุม ครม.อนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่ 130 อัตราใน ปปง. แย้มนายกฯ จ่อฟื้นท่องเที่ยวคลองมหาสวัสดิ์ ด้านรองโฆษกรัฐระบุ ครม.เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลยูเครน ว่าด้วยการร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ
วันนี้ (28 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้นว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติกรอบอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่จำนวน 130 อัตรา เพื่อปฏิบัติงานตามภารกิจและปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันในสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2553 เรื่องมาตรการบริหารกำลังพลภาครัฐ (พ.ศ. 2552-2556) ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ปปง.ตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับอัตรากำลังข้าราชการเพิ่มใหม่ด้วย ตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ สำนักงาน ก.พ.เสนอ
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงอีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้พูดก่อนการประชุม ครม.ว่า วันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จทอดพระเนตรการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่คลองส่งน้ำคลองพระพิมลและคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากรัฐบาล โดยมีหน่วยงานหลายหน่วยช่วยกัน คือ ทหาร มหาดไทย และประชาชนช่วยปลูกหญ้าแฝกเพื่อยึดดินสองฝั่งคลอง ซึ่งเป็นที่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคลองมหาสวัสดิ์เคยเป็นแหล่งท่งเที่ยวในอดีตมาก่อนในการสัญจรทางน้ำและขนพืชผลทางการเกษตรมา สมัยก่อนมีกิจกรรมเรื่องการท่องเที่ยว เคยมีตลาดน้ำ และเรื่องนี้ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จะรื้อฟื้นกิจกรรมท่องเที่ยวในคลองมหาสวัสดิ์อีกครั้ง
ขณะที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลยูเครน ว่าด้วยการร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสถาปนาความร่วมมือด้านการทหารระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคง และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพทั้งสองประเทศ โดยจะหารือร่วมกันในเรื่องนโยบายยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ การส่งกำลังบำรุงอุปกรณ์ และการแลกเปลี่ยนอุสาหกรรมในการป้องกันประเทศ อาวุธ ยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีการวิจัย การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ การปฏิรูปกองทัพ การบริหารทรัพยากรบุคคลทางกองทัพ การปฏิบัติการเพื่อสันติภาพและมนุษยธรรม และการบริการทางการแพทย์ทหาร ฯลฯ แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในร่างข้อตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างข้อตกลงดังกล่าว กระทรวงกลาโหมสามารถพิจารณาได้ตามความเหมาะสม