xs
xsm
sm
md
lg

“ปูติน” ยัน รบ.หมีขาว ไม่มีแผนตัดลดงบป้องกันประเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ออกโรงยืนยันเมื่อวันอังคาร (14) ว่า รัฐบาลรัสเซียจะไม่มีการตัดลดงบประมาณด้านการป้องกันประเทศโดยเด็ดขาด ระบุภารกิจในการป้องกันประเทศเป็นหนึ่งในภารกิจที่รัฐบาลรัสเซียให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ แม้ในขณะนี้ประเด็นด้านเศรษฐกิจจะทวีความสำคัญขึ้นทุกขณะ

ประธานาธิบดีปูติน วัย 59 ปีซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของรัสเซียเป็นสมัยที่ 3 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ออกมาเปิดเผยจุดยืนดังกล่าวระหว่างเข้าร่วมการแถลงข่าวโครงการขยายพื้นที่ของกรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศไปทางตะวันตกเฉียงใต้อีกไม่ต่ำกว่า 1,500 ตารางกิโลเมตรเพื่อใช้รองรับการขยายตัวของประชากรอีกราว 230,000 คนในอนาคต โดยปูตินยืนยันจะไม่มีการพิจารณาปรับลดงบประมาณด้านการทหารและการป้องกันประเทศลงอย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลรัสเซียจะต้องหันไปให้ความสำคัญและลงทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น

“ประเด็นสำคัญที่ชาวรัสเซียทุกคนควรตระหนัก คือ เวลานี้ระบบที่จำเป็นต่อการป้องกันประเทศและอาวุธยุทโธปกรณ์หลายอย่างของเรามันได้สิ้นสุดอายุการใช้งานแล้ว และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการทดแทน ดังนั้นจึงไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อย ที่เราจะตัดลดงบประมาณในด้านนี้” ปูตินกล่าว

ท่าทีล่าสุดของประธานาธิบดีปูตินมีขึ้น หลังมีกระแสข่าวลือหนาหูว่า รัฐบาลมีแผนจะตัดลดงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและจะเดินหน้าแผนปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่โดยจะมีการลดกำลังทหารให้เหลือเพียง 1 ล้านคนภายในปีนี้ และจะมีการยุบหน่วยงานทางทหารจำนวนมาก รวมถึงอาจไม่มีการทุ่มงบประมาณในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ เนื่องจากรัสเซียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 9 ของโลกในแง่ของจีดีพี และใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ของโลกในแง่ของอำนาจซื้อ เตรียมหันไปทุ่มความสำคัญกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจแทน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันยุทธศาสตร์ศึกษาระหว่างประเทศ (ไอไอเอสเอส) ระบุว่า กองทัพรัสเซียมีกำลังทหารประจำการไม่น้อยกว่า 1.02 ล้านคนและมีกำลังพลสำรองทั่วประเทศ 20 ล้านคน ขณะที่รายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม ระบุว่า งบประมาณด้านการทหารของรัสเซียในปี 2011 ที่ผ่านมายังสูงถึง 71,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.3 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และจีน




กำลังโหลดความคิดเห็น