“อภิสิทธิ์” นำทีมแถลงสับ รบ.นโยบายหาเสียงเลิศหรูแต่กลับทำตรงข้าม บี้ค่าครองชีพน้ำมันราคาแพง ปชช.แบกรับผลภาระ แถมค่าโดยสารสาธารณะปรับขึ้นพร้อมหน้า ป.ตรีหมื่นห้า ค่าแรง 300 ได้ไม่ทั่วถึง ซัดทุ่มงบเกษตรป็นประวิติการณ์ แต่ราคากลับตกต่ำ ชี้ปล่อยโกงผลผลิตเอาเปรียบเกษตรกร อัดใช้วาทกรรมแก้ไขไม่แก้แค้นบังหน้า จ้องตีฝ่ายตรงข้าม จี้เงินเยียวยาไม่เป็นธรรม และแก้ รธน.-พ.ร.บ.ปรองดองตามใบสั่ง เติมเชื้อขัดแย้ง
วันนี้ (24 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และทีม ครม.เงาของพรรค ได้จัดแถลงตรวจการบ้านรัฐบาลหลังบริหารครบ 1 ปี ภายใต้ชื่อ 1 ปีรัฐบาลเพื่อไทย ทุกข์ที่คนไทยจำทน
โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวนำการแถลงว่า เป็นเวลาครบรอบ 1 ปีที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศครบรอบ 1 ปี จึงเป็นหน้าที่ของแต่ละฝ่ายในการประเมินสรุปผลการดำเนินการงานของแต่ละฝ่ายในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยทราบว่ารัฐบาลพยายามประชาสัมพันธ์งานหลายรูปแบบ รวมทั้งในวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้ด้วย พรรคประชาธิปัตย์มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารของรัฐบาล โดยจะกำหนดกรอบการประเมินผลงานของรัฐบาลใน 6 ประเด็น คือ เรื่องคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจสังคม ความเป็นอยู่ของประชาชน ตั้งแต่เรื่องค่าครองชีพที่ไปจนถึงรายรับหรือรายได้ของประชาชน โดยหยิบยกปัญหาของกลุ่มเกษตรกรมานำเสนอ คือ ปัญหาราคาพืชผล ส่วนมุมมองด้านความมั่นคงประชาชนคาดหวังเรื่องการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่รัฐบาลบอกจะผลักดันการปรองดองและปัญหาความไม่สงบในภาคใต้
นอกจากนี้ยังมีวิกฤตภัยพิบัติ น้ำท่วม และการประเมินทิศทางระยะยาวในเรื่องความเข้มแข็งของประเทศ ประชาชนคนไทยในแง่ฐานะการเงิน การคลัง ทุนสำรอง หนี้สินของประเทศซึ่ง 6 เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องตอบคำถามประชาชนมากที่สุดเพราะกระทบประชาชน ความเข้มแข็งของบ้านเมืองรวมทั้งอนาคตของประเทศชาติ โดยสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งคำถามเป็นโจทย์ที่รัฐบาลตั้งขึ้นเองในช่วงหาเสียง จึงต้องให้คำตอบกับประชาชนว่าทำได้หรือไม่ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
จากนั้นได้มีการนำคลิปวิดีโอการปราศรัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศจะกระชากค่าครองชีพยกเลิกกองทุนน้ำมันมาเผยแพร่ ก่อนที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รมว.พาณิชย์เงาพรรคประชาธิปัตย์ จะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการกระชากค่าครองชีพให้ลดลง และไม่มีการยกเลิกกองทุนน้ำมันตามที่มีการหาเสียงไว้ โดยเมื่อบริหารงานไป 1 ปีกลับพบว่าราคาพลังงานทุกชนิดสูงขึ้นสวนทางกับที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะทำให้ราคาน้ำมันลดลง และยังบริหารนโยบายพลังงานผิดพลาด ปล่อยให้ราคาดีเซลสูงถึง 32.33 บาท ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งแพงขึ้น ลอยตัวแอลพีจี และเอ็นจีวี ทำให้ค่าโดยสารทุกชนิดเพิ่มขึ้น แม้ในขณะนี้มีการตึงราคาดีเซลที่ 30 บาท แต่ก็ไม่สามารถปรับลดค่าโดยสาร และราคาสินค้าที่เพิ่มไปแล้วลดลงได้
นอกจากนี้ คำสัญญาเกี่ยวกับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ปรับเงินเดือนแต่เป็นเงินชดเชย ส่วนเงินเดือนต้องรอปี 57 และได้เฉพาะกลุ่มข้าราชการ โดยยังเกิดความไม่เท่าเทียมในสาขาวิชาชีพอื่นด้วย อีกทั้งไม่สามารถดูแลในภาคเอกชนดำเนินการตามนโยบายได้ ส่วนค่าแรง 300 บาทสัญญาว่าทำได้ทันทีทั่วประเทศ แต่ที่ได้จริงมีเฉพาะ 7 จังหวัด ในอีก 70 จังหวัดปรับ 40% ซึ่งเป็นการปรับแบบก้าวกระโดดส่งผลกระทบให้เอสเอ็มอีหลายแสนลายปิดตัว ลดพนักงาน ทำให้แรงงานไม่ได้ 300 บาท แต่ต้องตกงานหรือถูกลดสวัสดิการรายได้อื่นลง ในขณะที่จำนวนลูกจ้างที่ไม่อยู่ในระบบอีก 20 กว่าล้านคนไม่ได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำ แต่ต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้เดือดร้อนทั้งแผ่นดิน พรรคเพื่อไทยยังหาเสียงว่าจะตรึงราคาค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ไม่มีการขยายเส้นทาง ตามที่หาเสียง และราคาไม่ได้ตรึงที่ 20 บาท แต่ทยอยปรับขึ้นตั้งแต่มีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงค่าโดยสารรถอื่นๆ ด้วย ที่สำคัญคือในเดือน พ.ค. ช่วงเปิดเทอมซึ่งประชาชนจะมีภาระมากที่สุดแต่รัฐบาลกลับปล่อยให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสาร จนคนไทยต้องเผชิญกับภาวะแพงทั้งแผ่นดิน ค่าใช้จ่ายครัวเรือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงขอตั้งคำถามว่า เมื่อไหร่ของถูกน้ำมันถูก เมื่อไหร่จะทำตามที่หาเสียงไว้ด้วยการกระชากค่าครองชีพให้ถูกลง
ต่อมามีการฉายวิดีโอที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ให้สัมภาษณ์ว่ามีมาตรการแก้ปัญหาให้ราคายางพาราสูงขึ้น 120 บาทต่อกิโลกรัม โดยนายเกียรติ สิทธีอมร รองนายกรัฐมนตรีเงาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า 1 ปีของรัฐบาลนี้ทำให้สินค้าเกษตรสวนทางราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รัฐบาลของบประมาณหลายแสนล้านบาทเพื่อดูแลสินค้าเกษตรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่ราคาพืชผลทางการเกษตรกลับตกต่ำลง ทั้งราคาข้าวที่รัฐบาลหาเสียงว่าจะทำให้ข้าวหอมมะลิอยู่ในราคา 2 หมื่นบาทต่อตัน ส่วนข้าวเปลือกเจ้าอยู่ในราคา 1.5 หมื่นบาทต่อตัน แต่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้บันทึกตัวเลขไว้ว่า ราคาข้าวหอมมะลิอยู่ในราคา 1.4-1.5 หมื่นบาทต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวเปลือกเจ้าอยู่ที่ 9,600 บาท ถึง 14,000 บาทต่อตัน แสดงว่างบประมาณที่ใช้ไปไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย เพราะราคาที่เกษตรกรขายได้เป็นราคาเดียวกับราคาตลาด ที่ผ่านมามีการใช้เงินลงไปกับโครงการจำนำข้าวถึง 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งตามสถิติพบว่าช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 2.2 ล้านครัวเรือนจากทั้งหมด 5.6 ล้านครัวเรือนทำให้ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวด้วย
พร้อมกันนี้ในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวยังพบว่ามีการโกงทุกขั้นตอน ทั้งน้ำหนัก ความชื้น การออกใบประทวนล่าช้า และมีการสวมสิทธิ ส่วนปัญหายางพาราที่รับปากว่าจะทำให้ได้ในราคา 120 บาทนั้น จากราคาล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมาพบว่า ราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ 76.50 บาทเท่านั้น แสดงว่ามาตรการในการดูแลปัญหาราคายางพารากระทำโดยไม่รู้ปัญหา ใส่แต่เงินลงไป จึงไม่สามารถตอบโจทย์ได้ การอ้างว่าประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศรับซื้อรายใหญ่เศรษฐกิจไม่ดีนั้น ถือว่าไม่จริง เพราะเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรกเติบโตถึง 7.8%
ขณะที่ราคามันสำปะหลังก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน การบริหารที่ล้มเหลวทำให้เกษตรกรมีหนี้เพิ่ม 7% หรือ 1.11 แสนบาทต่อครัวเรือน และเดิมหนี้ในระบบลดลงเป็นลำดับตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ ซึ่งในส่วนหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น 40% แต่รายได้เกษตรกรไม่เพิ่ม และยังพบว่าเกษตรกร 28% พร้อมขายที่ดินและเลิกอาชีพไปนำเงินไปใช้หนี้ แสดงว่าการดูแลสินค้าเกษตรล้มเหลว มีกรณีรับปากแล้วไม่ได้ทำ และรับปากแล้วทำไม่ได้ เข้าทำนองว่ายิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งแก้ยิ่งผิด ใส่เงินแต่แก้ปัญหาไม่ได้ และยังมีปัญหาหอมแดง กระเทียม มะพร้าว ปล่อยให้มีการโกงเอาเปรียบเกษตรกรในทุกขั้นตอนการดำเนินการใช้งบสูงไม่ถึงมือเกษตรกร เอื้อนายทุน เกษตรกรโดนหลอก โดนโกง รายได้ไม่เพิ่ม แต่หนี้เพิ่มทั้งแผ่นดิน
จากนั้นมีการฉายคลิปวิดีโอคำพูดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ยืนยันไม่มีการนิรโทษกรรม คืนทรัพย์สินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะเร่งแก้ปัญหาให้ประชาชน รวมถึงคำพูดของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ยืนยันลักษณะเดียวกันในช่วงหาเสียง โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า คนไทยอยู่ในภาวะจำทน แพงทั้งแผ่นดิน ถูกทั้งแผ่นดิน ทั้งน้ำท่วม หนี้ท่วม ไฟใต้ลุกท่วม และทุกข์จากความล้มเหลวนโยบายปรองดองของรัฐบาล โดยดูได้จากคำมั่นสัญญาจากนายกฯ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศแก้ไขไม่แก้แค้นไม่ทำเพื่อพี่ ไม่มีการคืนทรัพย์สิน แต่ตลอดหนึ่งปีทำในสิ่งตรงกันข้าม มีพฤติกรรมสี่ประการ คือ 1. การประกาศแก้ไขไม่แก้แค้น กลายเป็นวาทกรรมสร้างภาพในทางการเมือง เพราะตลอด 1 ปีที่ผ่านมามีพฤติกรรมใช้กลไกและกองกำลังฝ่ายรัฐบาลดำเนินการแก้แค้น จองล้าง ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามสารพัดรูปแบบ ไม่เว้นภาคประชาชน ตุลาการ องค์กรอิสระ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของรัฐบาลในทางการเมือง
2. การที่รัฐบาลเอาเงินงบประมาณแผ่นดินเยียวยาผู้ชุมนุมทางการเมืองส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนทางการเมืองให้รัฐบาลในวงเงินสูงถึง 7.5 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในภาคใต้และพื้นที่อื่นไม่ได้รับการเยียวยาในมาตรฐานเดียวกัน
3. เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอ้างประชาธิปไตยบังหน้า เป้าหมายคือ ลบล้างมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 เอื้อประโยชน์ให้คนพิเศษ ซึ่งปรากฏชัดเจนในเนื้อแท้พฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ให้ความสนใจและความสำคัญต่อระบบรัฐสภาอันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย ไม่เข้าร่วมประชุมสภาทั้งที่เป็น ส.ส. ไม่ตอบกระทู้ถามจากตัวแทนประชาชน ตลอด 1 ปี มีการตั้งกระทู้ทั้งหมด 41 กระทู้ นายกฯ ตอบแค่ 2 กระทู้ และยังมีปรากฏการณ์ ส.ส.กว่า 50 คนจากทั่วประเทศในพื้นที่ปลูุกยางพาราเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล แต่นายกฯ ปฏิเสธที่จะให้เข้าพบ เป็นพฤติกรรมไม่ให้ความสำคัญต่อระบบรัฐสภา ตัวแทนประชาชน และระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง นอกจากนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเริ่มต้นด้วยการโกหกประชาชน ระบุในเอกสารว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำประชามติ 2 ครั้ง ครั้งแรกก่อนแก้รัฐธรรมนูญ และครั้งที่ 2 หลังการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่กลับตัดตอนการทำประชามติครั้งแรก การปฏิบัติของรัฐบาลจึงไม่เป็นไปตามที่หาเสียง แต่เร่งรัดทำตามใบสั่งเพื่อประโยชน์ของคนพิเศษ อีกทั้งผลการสำรวจประชาชนระบุว่าไม่เห็นด้วยต่อการแก้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเดินหน้าเรื่องนี้ กลายเป็นปัญหาที่รอวันปะทุเชื้อไฟระเบิดทางการเเมืองนำไปสู่ตวามแตกแยก
4. กฎหมายล้างผิดที่ตั้งชื่อปรองดองบังหน้า เพื่อลับลวงพราง เป้าหมายที่แท้จริง ท่ามกลางการต่อต้านการล้างผิดคนโกง ลบล้างคำพิพากษาศาล ทำลายหลักนิติรัฐ เอื้อประโยชน์ คืนทรัพย์ คืนสิทธิให้คนคนเดียวเป็นหลัก และไม่ยอมถอน 4 ร่างออกจากวาระการประชุมสภา ในที่สุดถ้ามีการพิจารณาเมื่อไหร่ก็จะนำประเทศไปสู่ความแตกแยกร้าวฉาน วิกฤตรอบใหม่นำความสูญเสียจนประมาณค่าไม่ได้
นายจุรินทร์สรุปว่า 1 ปีรัฐบาลเพื่อไทยทุกข์ที่คนไทยต้องจำทน คือ พฤติกรรมการฉีกรัฐธรรมนูญอ้างประชาธิปไตยบังหน้า ออกกฎหมายล้างผิด อ้างปรองดอง เอาเงินภาษีคนไทยเยียวยาพวกพ้อง อ้าง 15 ล้านเสียงสนองคนคนเดียว จึงขอตั้งคำถามว่า เมื่อไหร่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะก้าวพ้นผลประโยชน์คนคนเดียวแล้วนำประเทศไทยไปสู่ความสงบเสียที