ประธานวิปฝ่ายค้านยันกฎหมายปรองดองขัดรัฐธรรมนูญ เอื้อประโยชน์คนบางกลุ่ม โดยวิถีทางสภาอย่างไม่ชอบธรรม เชื่อใบสั่งต้นตอ “ค้อนปลอม” เอียง ชี้นายกฯ ต้องเซ็นรับรองอ้างหนูไม่รู้ไม่ได้ แนะถอนร่างฯ แก้วิกฤตได้ ยันพรรคเมินขอโทษประธานสภา
วันนี้ (31 พ.ค.) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำตามข้อเสนอของฝ่ายค้าน โดยจะมีการนัดประชุมประธานคณะกรรมาธิการของสภาฯ ทั้ง 35 คณะเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับเป็นกฎหมายที่เข้าข่ายการเงินหรือไม่ว่า ฝ่ายค้านต้องการเห็นการดำเนินการในสภาที่เป็นไปอย่างถูกต้องตามข้อบังคับ โดยตนมองว่ากฎหมายปรองดองทั้ง 4 ฉบับเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เอื้อประโยชน์เพื่อคนคนบางกลุ่มในการล้างผิด คืนทรัพย์ และคืนสิทธิ โดยใช้ขั้นตอนทางสภาฯ อย่างไม่ชอบธรรม อีกทั้งหลายคนยังมองว่าประธานสภาฯ มีการทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง ซึ่งหากมองจากต้นตอของปัญหาตนเชื่อว่าเรื่องนี้เกิดจากใบสั่ง ซึ่งทำให้ประธานสภา รวมถึง ส.ส.มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของคนคนเดียว ตนจึงเกรงว่าเรื่องนี้อาจนำไปสู่วิกฤตของประเทศชาติ
ส่วนการประชุมระหว่างประธานสภาและประธาน กมธ.ทั้ง 35 คณะนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้มอบหมายให้ประธาน กมธ.ในส่วนของพรรคได้มีการชี้แจงด้วยเหตุผล และจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยตนมองว่าเรื่องนี้ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนให้ถูกต้อง เพราะเป็นกฎหมายที่ชัดเจนว่ามีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการคืนทรัพย์สิน ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องเซ็นรับรอง จะอ้างว่า “หนูไม่รู้” จะมาทำเป็นทำไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ เพราะนายกฯ ก็ถือเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย และเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสภาฯ และหากนายกฯ ต้องการที่จะยุติวิกฤตที่เกิดขึ้นก็ควรที่จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมพรรคและให้สมาชิกถอนเรื่องดังกล่าวออกไป อย่างไรก็ตาม จากนี้ก็คงต้องติดตามต่อไปว่านายกฯ จะมีการดำเนินการเช่นใด
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยมีการเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ขอโทษประธานสภาในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (30 พ.ค.) นายจุรินทร์กล่าวว่า คนที่ต้องขอโทษคือคนคนเดียวที่เป็นต้นตอของปัญหา โดยตนขอเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ทำเพื่อประชาชน และไม่ต้องการเห็นการใช้เสียงข้างมากเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียว