ผ่าประเด็นร้อน
คำประกาศ “แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้นัดหมายรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เวลาเช้า 9 โมง วันพุธที่ 30 พ.ค. เพื่อคัดค้านการที่สภาผู้แทนราษฎรจะเร่งฟอกผิด-คืนทรัพย์สินให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ผ่านการออก
“พระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติ พ.ศ. …”
สาระสำคัญของกฎหมายอัปรีย์ เป็นอย่างไร จะฟอกผิดไม่ให้ทักษิณต้องติดคุก กลับประเทศอย่างเท่ๆ และช่วยเอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืนให้ตระกูล “ชินวัตร” มีคนออกมาชำแหละกันหมดแล้ว ถึงการหมกเม็ดของกฎหมายฉบับนี้ ที่บัญญัติว่า
“ให้บรรดาการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องจากชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่ 15 กันยายน 2548 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554
หากมีการกระทำใดที่เป็นความผิดตามกฏหมาย ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง”
และในมาตรา 5 ที่บัญญัติว่าให้ถือว่าบุคคลที่ได้รับผลระทบ
จากการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งของ คปค. หรือคำสั่งของหัวหน้า คปค. ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หรือการดำเนินการหรือการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กร หรือหน่วยงานอื่นใดอันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติขององค์กรหรือของคณะบุคคลดังกล่าว มิได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็นผู้กระทำความผิด
เห็นได้ว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้แค่ช่วยทักษิณและเครือข่ายของพวกพรรคเพื่อไทย แต่มันช่วยกันหมดทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ-นักการเมือง-บิ๊กทหาร-บิ๊กตำรวจ ไม่ให้ต้องถูกสอบสวนเอาผิด ดำเนินคดีอาญาในคดีต่างๆ
ซึ่งบางคดีมันไม่ใช่คดีการเมืองแต่เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เผาบ้านเผาเมืองทำลายทรัพย์สินราชการและของประชาชน หรือคดีอาญากรณีออกคำสั่งโดยมิชอบของพวกเจ้าหน้าที่รัฐ เช่นกรณีสั่งตำรวจทำร้ายประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ
คดีความผิดแบบนี้ควรที่ต้องมีการสอบสวนดำเนินคดี ให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่และคนที่ถูกกล่าวหาหากมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ก็ต่อสู้คดีกันไป ไม่ใช่มาใช้เสียงข้างมากในสภาฯ ออกกฎหมายล้มกระดานเช่นนี้
และบางกรณีอย่างเช่น คำสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน-ชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตย ของศาลรัฐธรรมนูญก็สิ้นสุดไปแล้ว และไม่ใช่คดีการเมืองอะไรแต่เป็นคดีที่เกิดขึ้นจากการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มีการซื้อสิทธิขายเสียง แล้วจะมาใช้กฎหมายฉบับนี้มาลบล้างคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร อันเห็นได้จากในมาตรา 6 ในกฎหมายฉบับนี้ ที่เขียนไว้ว่า
“เพื่อให้บุคคลได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างความปรองดองในสังคม ให้การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง เพราะเหตุมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคการเมืองเป็นอันสิ้นสุดลง และให้ถือว่าบุคคลผู้นั้นไม่เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ"
เพราะเป้าหมายของมาตรานี้ คงไม่ได้หวังจะช่วยพวก 111 ไทยรักไทยเพราะวันที่ 30 พ.ค.นี้พวกนี้ก็ได้รับการคืนสิทธิแล้ว แต่มุ่งหวัจะช่วยพวก แกนนำเพื่อไทย-ชาติไทย-มัชฌิมาฯ ที่เป็นพวก 109 ให้ได้รับการคืนสิทธิการเมืองเร็วขึ้น โดยเฉพาะกับพวกแกนนำชาติไทยพัฒนาอย่างพวกบรรหาร ศิลปอาชา-สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกพรรคชาติไทยพัฒนาของบรรหารลงชื่อกันในร่างกฎหมายฉบับนี้จำนวนมาก
แต่ความจริงแล้วก็คือ รับแผนมาจากทักษิณและพรรคเพื่อไทยโดยให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำตัวเป็นเจ้าของร่างนั่นเอง
ซึ่งก็คือหมากของเพื่อไทยและทักษิณที่หวังจะดึงให้มี “แนวร่วม” มาสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้กันให้มากๆ จะได้ผ่านสภาฯได้ง่ายดาย
ทั้งที่มาตรานี้ เริ่มมีนักกฎหมายหลายคนออกมาชี้แล้วว่า มันส่อจะขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก รธน.ปี 2550 มีบทบัญญัติไว้ ในมาตรา 216 และมาตรา 237 ที่มีสาระสำคัญคือการย้ำว่า
ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด และมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
แต่กฎหมายปรองดองอัปรีย์จะมาล้มล้างคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับที่จะล้มล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ และคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของทักษิณ
ในส่วนของคดีที่ดินรัชดาฯ กับคดียึดทรัพย์นั้น นักกฎหมายหลายคนรวมถึงแม้แต่อดีตผู้พิพากษาบางคนที่อยู่ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็ยอมรับว่า การลบล้างคำตัดสินของศาลฎีกาด้วยการออกเป็นพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมหรือกฎหมายปรองดองก็แล้วแต่หากรัฐสภาผ่านกฎหมายแบบนี้ออกมาก็สามารถทำได้และจะมีผลทันที
ทำให้ทักษิณไม่ต้องรับโทษ และต้องมีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่มีการยึดคืนต้องส่งกลับไปให้ทักษิณทั้งหมด!
ทั้งนี้ยังไม่นับรวมกับการหมดเม็ดออกกฎหมายฟอกผิด ย่ำยีกระบวนการยุติธรรม อีกหลายมาตราใน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนี้
ถามว่าแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหมดได้ประโยชน์จากการนี้หรือไม่ คำตอบก็คือได้ไปเต็มๆ เพราะแกนนำหลายคนก็มีคดีค้างคาทั้งในชั้นตำรวจ-อัยการ-ศาล มากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะสองคดีใหญ่คือคดีที่ถูกกลั่นแกล้งกล่าวหาว่าปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ และคดีอื่นๆ อีกมากมายจากผลพวงการชุมนุมใหญ่ 193 วัน ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ไปจนถึงทำเนียบรัฐบาล-หน้ารัฐสภา-สนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ พันธมิตรฯ ก็ย่อมได้ประโยชน์ ทุกคนหลุดพ้นความผิดหมดทุกคดี
แต่แกนนำพันธมิตรฯ ก็ไม่คิดจะฉวยโอกาสจากกฎหมายที่เขียนเสียสวยหรูว่า “ปรองดองแห่งชาติ” แต่แท้ที่จริงก็คือ กฎหมายที่มุ่งเป้าประสงค์จะช่วยทักษิณเป็นหลักแล้วก็เหวี่ยงแหเอาคนอื่นๆ พ่วงได้ประโยชน์ไปด้วยเพื่อหวังจะลดแรงต้านและหาแนวร่วม
จึงเป็นเหตุอันชอบแล้ว ที่พันธมิตรฯจะออกมาเป็นหัวหอกนำขบวนประชาชนออกมาแสดงพลังให้นักการเมืองได้รับรู้ว่า ก่อนคิดชั่วร่วมกันเขียนกฎหมายนี้ออกมา ขอให้รับรู้ว่า ยังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายฉบับนี้ เพราะมันเป็นกฎหมู่ไม่ใช่กฎหมาย
ดังนั้น ใครที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ก็ขอให้ออกมาแสดงพลัง ไปร่วมชุมนุมกันในวันที่ 30 พ.ค.นี้กับพันธมิตรฯ มาให้แผ่นดินสะเทือนไปเลย
ไม่แน่ นี้อาจเป็นการชุมนุมและการทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายที่สำคัญยิ่งของพันธมิตรฯ หากว่าสภาฯจะดันทุรังเสนอกฎหมายนี้ให้ได้
ก็อย่างที่แกนนำคนสำคัญ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประกาศไว้กลางงานเมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษที่สวนลุมพินี เมื่อวันเสาร์ที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า
“การออกครั้งนี้จะออกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าแพ้ต้องตายคาลูกปืนก็จะตาย สู้ครั้งสุดท้ายครั้งนี้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าชนะจะยกประเทศให้เขาดูแลต่อไป ถ้าดูแลไม่ดีไม่ต้องมาเรียกผม
ขอเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ให้พี่น้องระลึกถึงไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา วันที่ 30 เป็นงานเลี้ยงที่สำคัญ”
แล้วคุณล่ะ จะพลาดการต่อสู้ครั้งสำคัญนี้ได้หรือ