“ผู้นำฝ่ายค้าน” ตอกย้ำ รบ.เพื่อไทยอย่าตะแบงอ้าง พ.ร.บ.ปรองดองมาบังหน้าหวังล้างมลทินให้ “แม้ว” ติง 3 ข้อ คืนสิทธิให้นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิอีก 109 คน นิรโทษกรรมล้มล้างความผิดที่เกิดจากคำสั่งของคณะปฏิวัติ ชี้สร้างบรรทัดฐานใหม่ ทำลายนิติรัฐ ย้ำ ปชป.ต้านแน่ พ่วงตามหลอกลงชื่อเสนอ กม. วอนประชาชนร่วมแสดงออกให้ถอนร่างพ้นสภา
วันนี้ (28 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ. ปรองดองว่า ได้รับร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วซึ่งอยู่ในลำดับที่ 27 ของเรื่องด่วน เรื่องนี้อยู่ที่วิปรัฐบาลจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะหยิบขึ้นมาพิจารณาหรือไม่ ซึ่งจากข่าวสาร 2 วันที่ผ่านมาดูเหมือนประธานวิปรัฐบาลเริ่มที่จะพูดแล้วว่าจะมีการนำเสนอว่าจะพิจารณาในสัปดาห์นี้หรือไม่ หากกฎหมายฉบับนี้ออกมาจริงๆ จะยุ่งวุ่นวายมาก ถ้าจำได้ในตอนช่วงหาเสียงตนได้ปราศรัยเกือบทุกเวทีว่าพรรคเพื่อไทยที่อยากจะเข้ามาเป็นรัฐบาลเพราะอยากมาล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยากได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกยึดไปคืนมา แต่พรรคเพื่อไทยก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่คิดจะทำเพื่อคนคนเดียว เพราะพ่วงเรื่องของคนอื่นเข้าไปด้วย แต่เรื่องหลักก็คือเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อเราติดตามงานของรัฐบาลที่เกี่ยวกับเรื่องของปรองดอง เช่น การแปลงสารของ คอป.ไปผ่านกลไกที่เรียกว่า ปคอป. หรือการทำงานของกรรมาธิการ ปรองดอง เราก็ชี้มาตลอดว่า ความจริงแล้วคำว่า ปรองดอง ถูกนำมาบังหน้าการล้างผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะว่าเรื่องของการปรองดองมีขั้นตอนอีกมากที่ยังไม่ได้ทำ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ถ้ากฎหมายนี้ออกมาจริงคงยุ่งวุ่นวายแน่ เพราะว่าไม่รู้ว่าอะไรแปลว่าอะไร โดยสรุปมี 3 เรื่อง คือ 1. อยากจะคืนสิทธิให้แก่นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิไปอีก 109 คนซึ่งจะครบ 5 ปีใน 1 ปีข้างหน้า ส่วน 111 คนก็จะพ้นกำหนด 5 ปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว ซึ่งมีหลักที่ว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสิทธิของคนที่ถูกยุบพรรคไปเพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จะคืนสิทธิให้ ซึ่งยอมรับกันได้ในเชิงหลักกฎหมาย เพียงแต่ในเหตุผลนั้น ตนไม่แน่ใจว่าเวลาจะเขียนกฎหมายบอกว่าจะคืนสิทธิให้นั้นจะต้องคืนให้ทุกคนหรือไม่ อย่างไร ทั้งคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องและคนที่ไม่เกี่ยวข้องได้คืนสิทธิด้วยหรือไม่ นี่แค่ปัญหาน้อยที่สุด 2. การนิรโทษกรรมความผิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง จะนิรโทษกรรมเสมือนว่า ไม่เคยมีการกระทำผิดเลย ใครที่ถูกตัดสินคดีไปแล้วก็ให้พ้นจากความผิดในคดีนั้นๆ เรียกว่า ล้างให้หมด ทั้งที่ในอดีตการนิรโทษกรรมเหตุการณ์ต่างๆ ทั้ง 14 ตุลา 6 ตุลา หรือ พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์นั้นก็จำกัดไว้แค่เรื่องการเมืองจริงๆ แต่ครั้งนี้จะล้างให้หมดทุกความผิด ทั้งเอา M79 ไปยิง การฆ่าคน การหมิ่นประมาท การเผา การขโมย โดยอ้างว่าเป็นมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ถ้าทำต่อไปหากมีการชุมนุมต่อสู้ทางการเมือง พูดแค่ว่าชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธนั้นแล้วอ้างเหตุผลว่าเป็นการต่อสู้ทางการเมือง สุดท้ายถ้าชนะได้อำนาจรัฐก็ลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองได้หมด ถือเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายมาก บอกเพียงว่านิรโทษกรรมให้ทุกฝ่าย จะรวมถึงผมหรือคุณสุเทพ ทั้งที่ผมไม่ประสงค์ตรงนี้ แต่ว่าพี่น้องประชาชนที่ประสบกับความสูญเสียเขาไม่ได้ต้องการตรงนี้ เขาต้องการให้ค้นหาความเป็นจริงก่อนแล้วค่อยใช้หลักการให้อภัย ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าใครทำอะไร แล้วจะนิยามกันอย่างไร ที่สำคัญจะเกิดปัญหา ทำให้เกิดบรรทัดฐานที่อันตรายมาก เพราะทำลายหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม และ 3. สิ่งที่เป็นปัญหามากคือ ที่เขียนว่า ใครก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการ หรือการปฏิบัติของพูดง่ายๆ คือ คณะปฏิวัติ หรือว่าคำสั่งของคณะปฏิวัติ ให้ถือว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหา หรือเป็นผู้กระทำความผิด ก็ให้ระงับ ถูกฟ้องก็ให้ถอนฟ้อง ศาลตัดสินไปแล้ว ก็ถือว่าไม่เคยถูกคำวิพากษาตัดสินว่าผิด แล้วจะเอาเรื่องคดีทุจริตเข้าไปพ่วงในเรื่องการปรองดองอย่างไร ทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคดีทุจริตเลย อย่างคดีของ คตส.เป็นคดีที่ตัดสินแล้ว โดยต่อสู้ตามกระบวนการของศาลภายใต้กฎหมายทุกประการ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า ทางพรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่ได้ล้างผิด ถ้าผิดให้มาเริ่มต้นกันใหม่ แต่ถ้าเริ่มต้นใหม่ก็ต้องหาความจริงกันก่อนเช่นกันแล้วจะแก้ปัญหากันอย่างไร เพราะ 1. การสอบสวนการดำเนินคดีทำได้อีกหรือไม่ เพราะอาจมีการเล่นเทคนิคบอกว่าเป็นการฟ้องซ้ำเรื่องซึ่งเคยดำเนินคดีไปแล้ว กรณีนี้จะปฏิบัติกันอย่างไร 2. ใครจะเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้ ถ้าบอกว่าตำรวจเป็นต้นทางสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ก็เกิดคำถามว่า ขณะนี้กลุ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครองอำนาจรัฐอยู่ มีสักกี่คดีซึ่งถูกเพิกเฉย ละเลย แล้วก็ใครก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้และจะเป็นการซ้ำรอยเดิมหรือไม่ และถ้าบอกว่าไม่ใช่เรื่องของตำรวจแต่เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ก็มีปัญหาอ้างกันอีกว่าเป็นชุดที่แต่งตั้งเป็นผลสืบเนื่องจากคณะปฏิวัติอีกหรือไม่ สุดท้ายจะทำกันอย่างไร และองค์กรอิสระจำนวนมากที่ตั้งมาจากคณะปฏิวัติ ทั้ง กกต. ถ้าเป็น กกต.ก็แปลว่าคนที่เคยถูกตัดสิทธิก็ได้สิทธิคืนมา แล้วใบเหลือง ใบแดง จะเพิกถอนอีกหรือไม่ จะรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วยหรือไม่
“กฎหมายนี้เขียนมาโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงของการปกครองเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย มุ่งหวังอย่างเดียวว่าทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ล้างผิดให้กับนายใหญ่ของตัวเอง มันไม่มีอะไรที่จะมารองรับ ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าตัวนี้ออกมาแล้วจะทำให้คนในชาติเกิดความปรองดองสามัคคีกัน แล้วงบประมาณที่ ครม.ตั้งไว้ 400 กว่าล้านบาทจะทำโครงการสานเสวนา โดยบอกให้กรมการพัฒนาชุมชนไปดำเนินการ สรุปแล้วก็เป็นเรื่องหลอกลวงใช่หรือไม่ สุดท้ายก็กลายเป็นว่า กฎหมายฉบับนี้คือความปรองดองในความหมายของรัฐบาล ก็คือ ล้างความผิด ถ้าเราอยากจะปรองดองตามมาตรฐานของสากล คอป.ก็ควรจะทำหน้าที่ต่อไป แล้วทุกคนก็ควรจะเอางานของ คอป.เป็นตัวตั้งในการที่จะมาดำเนินการ แต่ขณะนี้ถ้าไปในเส้นทางนี้ ผมก็ไม่แน่ใจว่า คอป.เขาคิดว่าเขาจะต้องทำอะไรอย่างไรต่อ เพราะว่ามันก็เหมือนกับว่า งานที่เขาทำมันไม่ได้มีผลหรือความหมายอะไร นอกจากว่าอาจจะเป็นเอกสารซึ่งบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์แค่นั้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า การที่รัฐบาลเพื่อไทยให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.วิสามัญปรองดอง เสนอเรื่องนี้เพื่อดูกระแสสังคม หากถูกต่อต้านก็ค่อยแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เดาได้ยาก แต่ตนรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว และก็ไม่ใช่คนใจเย็นอีกด้วย เมื่อถามอีกว่า การที่นายวัฒนา เมืองสุข รองประธาน กมธ.ปรองดองออกมาระบุว่าใครออกมาต่อต้านในเรื่องนี้ และถึงเวลาที่สังคมไทยต้องเลือกข้างแล้ว นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “มันน่าแปลก ถ้าบอกว่านี่คือวิธีการปรองดอง เพราะผมยังไม่เคยได้ยินที่ไหนที่บอกว่าจะปรองดองกันแล้วมาท้าทายให้คนบอกเลือกข้าง แล้วบอกสู้กัน ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าคำว่าปรองดองของรัฐบาลชุดนี้มันเรื่องโกหกทั้งนั้น”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงจุดยืนของพรรคในกรณีนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์จะทำงาน 2 ลักษณะ คือ 1. เราต้องคัดค้านไม่ให้มีการนำเสนอกฎหมายฉบับนี้ และน่าสนใจตรงที่ได้ข่าวว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งลงนามในกฎหมายฉบับนี้ด้วย บอกว่าถูกหลอก ก็ต้องตรวจสอบกับท่าน แต่ว่าถ้าถูกหลอกจริงก็ถือว่าการเสนอกฎหมายนี้ก็คงไม่ชอบ แสดงว่ามีการเอารายชื่อของคนไปเสนอในสิ่งที่เขาไม่ทราบ หรือว่าถ้าหากว่ามันผิดพลาดไปก็ต้องเรียกร้องว่า ถ้าอย่างนั้น พล.ต.สนั่น และอีกหลายๆ คนที่ลงชื่อไปก็ต้องถอนชื่อ เพราะว่าถ้าชื่อไม่ครบ มันก็ตกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ 2. ถ้ามีความพยายามที่จะเลื่อนเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาในสัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้า ในสมัยประชุมที่ขยายกันไปไม่จบไม่สิ้น เราก็ไม่เห็นด้วย ถ้าทำตรงนั้นขึ้นมาสำเร็จ ก็ต้องคัดค้านกันไปตามกระบวนการของรัฐสภา
เมื่อถามว่า ประชาชนที่เป็นกลางไม่อยู่ฝ่ายใดจะแสดงออกอย่างไรในเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “ผมคิดว่าประชาชนที่รักอยากจะให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป มีความสงบแบบยั่งยืน รักความถูกต้อง และไม่ต้องการเห็นการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจแบบไม่มีขอบเขต ก็ต้องแสดงออกให้เห็นว่าไม่ต้องการกฎหมายแบบนี้ น่าจะไปเรียกร้องกับผู้เสนอกฎหมายให้ถอนกฎหมายฉบับนี้ออก อย่าให้มันเกิดวุ่นวายเลยในบ้านเมืองของเรา มีเรื่องหรือปัญหามากมายที่ต้องทำในขณะนี้ ประชาชนเขาเดือดร้อนมากอยู่แล้ว ต้องมีการพูดคุยและว่ากันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความต้องการก็เอากันให้ได้โดยที่ไม่ได้สนใจถึงความถูกต้องของบ้านเมือง ไม่นึกถึงอนาคตของบ้านเมือง” นายอภิสิทธิ์กล่าว