หน.ปชป.เผยเป็นดุลพินิจดีเอสไอเรียกให้ปากคำคดีเผาเมือง ชี้ “ธาริต” รู้ดีเรื่อง ศอฉ. แปลกใจคดีเงินบริจาคน้ำท่วมร้อยนึงยังไล่บี้ ทั้งที่ กกต.สอบอยู่แล้ว คาดหวังผลการเมือง ลั่นไม่เคยใช้วิธีข่มขู่คุกคาม ตำหนิ “จนท.-คู่ความ-สื่อหัวแดง” ชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด ลั่นข้อเท็จจริงเปลี่ยนไม่ได้ ซัดดีเอสไอต้องรับผิดชอบหากตอบสนองการเมือง กังขาถามกลับคดี “พล.อ.ร่มเกล้า” วันนี้กลับระบุตัวคนผิดไม่ได้
วันนี้ (20 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในขณะนี้มีคดีที่เรียกให้ตนไปให้ปากคำ คือ คดีที่ดีเอสไอเชิญไปให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบช่วงปี 2553 ซึ่งอยู่ในกลุ่มคดีที่ดีเอสไอรับผิดชอบอยู่ จึงต้องการสอบถามตนเกี่ยวกับการออกคำสั่งในช่วงเกิดเหตุการณ์ ทั้งนี้ คิดว่าเป็นดุลพินิจของดีเอสไอที่จะเชิญใครไปให้ถ้อยคำ ซึ่งในช่วงเหตุการณ์ตนก็มีคำสั่งแต่งตั้ง ศอฉ.เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอก็เป็นส่วนหนึ่งของ ศอฉ. จึงน่าจะทราบดีถึงการทำงานของ ศอฉ. เพราะเป็นกรรมการ ศอฉ.อยู่ด้วย ส่วนที่อ้างว่าเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนข้าราชการพลเรือน ไม่ได้เกี่ยวโยงกับสายบังคับบัญชานั้น นายธาริตน่าจะทราบดีว่าการประชุม ศอฉ.มีโครงสร้างตามกฎหมายรองรับ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติเป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะรับไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรที่ดีเอสไอมารุกคืบในช่วงเวลานี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าคดีต่างๆ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จอย่างเที่ยงตรง ถูกต้อง เพราะก่อนหน้านี้ทางดีเอสไอเคยส่งหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไปที่อัยการ และส่งฟ้องไปแล้วทั้งคดีก่อการร้ายและคดีอื่นๆ จึงต้องมีความสม่ำเสมอและตรงไปตรงมาในการทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ แต่ที่ตนแปลกใจคือ มีการเรียกคนที่เคยบริจาคเงินน้ำท่วมผ่านพรรคให้รัฐบาล 100 บาท หรือต่ำกว่านั้น ถูกเรียกไปให้ปากคำ และดีเอสไอรับเรื่องไว้ดำเนินคดี ทั้งที่ กกต.ที่มีหน้าที่โดยตรงก็สอบสวนเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งคงต้องดูข้อสรุปว่าดีเอสไอให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ แต่ตนเห็นว่ากรณีนี้ไม่เหมาะสมและมองไม่เห็นเหตุผลที่จะนำเรื่องคดีการบริจาคเงินมาเป็นคดีพิเศษ แต่เป็นการหวังผลทางการเมืองมากกว่า เหตุการณ์ในช่วงที่เกิดความไม่สงบนั้นข้อเท็จจริงจะต้องสอดคล้องกันทั้งการหาข้อเท็จจริงในส่วนการกระทำเจ้าหน้าที่รัฐและคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งต้องดูว่าจะมีการสรุปคดีออกมาอย่างไร ตนไม่ติดใจที่มีการเรียกให้ไปให้ถ้อยคำในช่วงนี้ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทำความจริงให้ปรากฏ และพร้อมให้ความร่วมมือทุกประการ
“ผมไม่เคยใช้วิธีข่มขู่คุกคาม ไม่ว่าจะวันที่มีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ เราให้การตามข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่ผมอยากย้ำคือลักษณะการให้ข่าว และลักษณะที่มีกระบวนการของเจ้าหน้าที่ ฝ่ายคู่ความ หรือสื่อบางส่วน กระทำในลักษณะชี้นำสังคมให้เกิดความเข้าใจผิด สิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะสม เพราะในวันที่พวกเราเป็นรัฐบาลไม่เคยใช้วิธีการเหล่านี้ ไม่เคยกดดันเจ้าหน้าที่ในการทำคดี แต่เราระมัดระวังในการให้ข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและนำไปสู่ความปรองดอง เพราะรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะชี้นำ แต่ที่ผ่านมาถ้ามีผลสรุปออกมาในทางที่กลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยไม่พอใจก็จะมีการกดดันอยู่ตลอดเวลา ผมยืนยันว่าข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะมีใครกลั่นแกล้งหรือปั้นพยานหลักฐานเท็จอย่างไร ในที่สุดจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่ผู้จะทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏต่อศาลคือดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานตั้งต้นของกระบวนการยุติธรรม มีการเปลี่ยนท่าทีไปแล้ว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ดีเอสไอต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง และขอเตือนเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมว่าอย่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือไปตอบสนองความต้องการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะสุดท้ายเจ้าหน้าที่คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ และเห็นว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ดีเอสไอระบุว่าหาผู้กระทำความผิดไม่ได้ ต่างจากเดิมที่เคยมีการระบุถึงผู้กระทำความผิดชัดเจนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ เพราะดีเอสไอเคยทำสำนวนไว้กว่า 10 คดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่ามีคนติดอาวุธและอยู่ในฝ่ายผู้ชุมนุมที่ทำให้เกิดความสูญเสีย ส่วนกรณีที่มีหมายศาลเรียกให้เป็นพยานในคดีที่ศาลไต่สวนการเสียชีวิตว่าอาจเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งตนเพิ่งจะได้เห็นหมายศาลเมื่อเช้านี้ (20 ส.ค.) เนื่องจากเอกสารที่ส่งมาไม่ได้ประทับตราหมายศาล แต่ส่งโดยทนายผู้เสียหาย ประกอบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็อยู่ที่สภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตลอด จึงทำหนังสือขอเลื่อนไป 2 สัปดาห์