ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าหลายคนคงคาดไม่ถึงกับการต่อต้าน ทักษิณ ชินวัตร ของคนไทยระหว่างที่เขาเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาตลอดทั้งสัปดาห์ และผลจากการเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดเป็นข่าวประจานไปทั่วโลก และยังเป็นครั้งแรกที่ทำให้โลกได้รับรู้ว่ายังมีคนที่รู้ทันและเกลียดทักษิณ อีกเป็นจำนวนมาก
ก่อนที่จะไปว่ากันในรายละเอียดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับไฟเขียวเข้าสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ว่ามาจากอะไรกันแน่ ก็ต้องบอกว่าการต่อต้านของคนไทยในสหรัฐอเมริกาต้องถือว่าเป็นการรวมพลังกันครั้งใหญ่ ที่น้อยครั้งจะได้เห็นแบบนี้ เป็นการ “ตบหน้า” ประจานทักษิณและเครือข่ายให้เห็นว่าไม่ว่าเขาจะเดินทางไปที่ไหนจะเกิดกระแสต่อต้าน อีกทั้งมีป้ายประท้วงแสดงให้เห็นว่าเขาโกงอย่างไร ทำร้ายบ้านเมือง และทำลายกระบวนการยุติธรรมในบ้านเกิดของตัวเองอย่างไร
คงนึกไม่ถึงว่าจะได้เดินทางไปไหนมาไหนในสหรัฐฯ อย่างเท่ๆ สามารถพูดจาปราศรัยกับผู้สนับสนุนแล้วเป็นข่าวโชว์เพาเวอร์ของตัวเองและคงเหมือนกับทุกครั้งที่จะมีสื่อต่างประเทศรายงานแล้วสื่อไทยนำมาแปลงลงข่าวพาดหัวกันในวันรุ่งขึ้นเหมือนกับที่เขาเคยทำระหว่างที่เยือน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรือแม้แต่อังกฤษ แต่กลายเป็นว่าคราวนี้ต้องเจอกับการประท้วงอย่างหนัก ตามเกาะติดไปทุกที่ จนไม่กล้าเข้ามาในงานที่จัดเตรียมเอาไว้
ข่าวที่ออกมาก็เป็นเรื่องกระแสต่อต้านกลบเรื่องโชว์เพาเวอร์ที่เตรียมเอาไว้เสียสนิท เสียหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง
นี่ว่ากันเฉพาะนักประชาธิปไตยจอมปลอมที่บูชาลัทธิเลือกตั้งคนหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าที่มาและเบื้องหลังของการเลือกตั้งนั้นจะสกปรกโสมมเพียงใด ทุกอย่างวัดกันที่การเลือกตั้งใครชนะก็สามารถทำอะไรก็ได้
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศตัวเองเป็นเจ้าแห่งประชาธิปไตย และเจ้าแห่งสิทธิมนุษยชน โดยแพร่ขยายออกไปทั่วโลก สร้างฉากบังหน้าสวยหรู แต่ข้างหลังพิสูจน์ให้เห็นหลายครั้งแล้วว่าเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม ที่สำคัญนี่แหละคือต้นตำหรับ “สองมาตรฐาน” ของจริง
ที่ผ่านมามักเข้าใจว่ารัฐบาลในกรุงวอชิงตันของสหรัฐจะรังเกียจการรัฐประหาร และประเทศใดก็ตามที่เป็นรัฐบาลเผด็จการทหารก็จะได้รับการบอยคอต ไม่คบค้าไม่ให้ความช่วยเหลือ แต่เดี๋ยวก่อนนั่นเป็นเฉพาะประเทศที่ไร้ค่าไม่มีประโยชน์สำหรับสหรัฐเท่านั้น หรือไม่งั้นก็เป็นประเทศที่ผู้นำหัวแข็ง ไม่ยอมอ่อนข้อให้เท่านั้น
ถ้าไล่เรียงอดีตกันไปทีละประเทศ เช่น ในแถบเอเชียอย่างปากีสถานในยุคประธานาธิบดีเซียอุลฮัค ที่มาจากการรัฐประหาร แต่สหรัฐฯก็ทำเป็นหลิ่วตาและให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพราะกับจีนและอินเดียที่ในยุคนั้นอยู่คนละขั้วในยุคสงครามเย็น
หรือแม้แต่ในสงครามเวียดนามที่สหรัฐฯนี่แหละโดยหน่วยราชการลับซีไอเอถึงขนาดเคยอุปถัมภ์ให้นายทหารบางคนก่อการรัฐประหารเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทั้งในเวียดนามใต้ และกัมพูชา แล้วถามว่ารัฐบาลไทยยุค ถนอม-ประภาส-ณรงค์ เป็นประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า แต่ทำไมสหรัฐอเมริกาจึงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ถามว่าเมื่อเราเดือดร้อนจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ประเทศที่บอกว่าเป็นมหามิตรเคยยื่นมือมาช่วยเราสักแดงมั๊ยตรงกันข้ามมีแต่จ้องทำลายแล้วมาช้อนซื้อของถูกฮุบกิจการเป็นของตัวเอง
ล่าสุด กรณีพม่าที่พยายามบีบคั้นทุกวิถีทางเพื่อผ่อนคลายกฎเหล็กมานานหลายปี แต่ก็ไม่เป็นผล สั่งห้ามบริษัทเอกชนเข้าไปลงทุนค้าขาย แต่ที่ไหนได้กลับเปิดช่องให้ประเทศอื่น เช่น จีน อินเดีย เข้าไปลงทุนสบายใจ และในที่สุดรัฐบาลพม่าเป็นเผด็จการมาจนเบื่อก็ได้ผ่อนคลายเดินหน้าปฏิรูปด้วยตัวเอง ทั้งที่จะว่าไปแล้วรัฐบาลพม่าในเวลานี้ในภาพรวมก็ไม่เห็นเป็นประชาธิปไตยตามที่สหรัฐฯต้องการ แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง “ดัดจริต” ของประเทศตะวันตกอยากเข้าไปสูบเอาทรัพยากรน้ำมันและอื่นๆ ที่ยังมีมากมายมหาศาลจนตัวสั่นเท่านั้น ก็กุลีกุจอเข้าไป แต่ด้วยความที่ห่างเหินมานานในช่วงแรกก็อาจขัดเขินไม่ทันใจ จึงมาลงตัวอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตร พอดีในฐานะ “เจ้าของ” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างจึงน่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ลงตัวกันพอดี
ฝ่ายหนึ่งเป็น “นายหน้า” อีกฝ่ายเป็นทุนใหญ่ข้ามชาติ และยังสามารถครอบงำรัฐบาลไทย ครอบงำนายกรัฐมนตรีของไทยได้ไม่ยาก ซึ่งในเป้าหมายวันข้างหน้ายังมีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการในการคานอำนาจกับจีน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในย่านเอเชียแปซิฟิก โดยรื้อฟื้นฐานทัพเก่าของตัวเองที่เคยสร้างเอาไว้เมื่อครั้งสงครามเวียดนาม แม้ว่าจะมาในรูปแบบใหม่คือความช่วยเหลือ แต่เป้าหมายที่ซ่อนอยู่ข้างหลังล้วนแล้วแต่อันตรายทั้งสิ้น
ดังนั้นถ้าจะว่าไปแล้ว ทักษิณ ชินวัตร และ สหรัฐอเมริกา ถือว่า “ถูกคู่” และเหมาะสมกันอย่างยิ่ง เหมือนกับ “ผีเน่ากับโลงผุ” เพราะล้วนแล้วแต่สร้างภาพ “จอมปลอม” ด้วยกันทั้งคู่ และที่สำคัญนี่แหละคือคำอธิบายเรื่อง ประชาธิปไตยจอมปลอม ผลประโยชน์และทุนสามานย์ได้ดีที่สุด!!