ผ่าประเด็นร้อน
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ ณ นาทีนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง อยู่ในสภาพลุกเป็นไฟ เข้าไปทุกทีแล้ว ขณะเดียวกันเมื่อหันมาพิจารณาจากนโยบายในการป้องกันและรักษาความสงบในพื้นที่ของฝ่ายรัฐบาลและความมั่นคงก็ต้องบอกว่าไร้ความหวังเข้าไปทุกทีเหมือนกัน
ที่สำคัญเมื่อได้เห็นรายชื่อผู้ที่มีอำนาจและรับมอบอำนาจให้เข้ามาแก้ปัญหาในพื้นที่อ่อนไหวดังกล่าวก็ยิ่งหดหู่สิ้นหวังลงไปอีก เพราะสะท้อนให้เห็นว่าทั้งคนที่แต่งตั้งและรับการแต่งตั้งล้วนแล้วแต่ไม่เคยเข้าใจวิถีชีวิต ไม่เคยสัมผัสกับวัฒนธรรมความแตกต่างดังกล่าวเลย
ที่สามารถสรุปฟันธงแบบนี้ก็เป็นเพราะพิจารณาจากสถานการณ์ปั่นป่วนในปัจจุบันมันฟ้องให้เห็นจนปฏิเสธไม่ได้
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนไต้เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบสามารถขยายพื้นที่ก่อการรุกเข้ามาในพื้นที่เขตเศรษฐกิจชั้นในได้บ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งรูปแบบการก่อเหตุก็ยกระดับรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเป็น “คาร์บอมบ์” ประเภทเผาตู้โทรศัพท์ เผายางรถยนต์ ทำลายเสาไฟฟ้าตามป่าเขากลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ห่างหายไปแล้ว
หากจะว่ากันไปแล้วสถานการณ์ชายแดนใต้ในวันนี้ที่รุนแรงขึ้นไม่ใช่เฉพาะในช่วงเดือนรอมฎอนเท่านั้น เพราะถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าความรุนแรงได้เพิ่มมาอย่างต่อเนื่องนานมาแล้ว การลอบวางระเบิด ลอบยิงเจ้าหน้าที่ในเขตเมือง เขตเศรษฐกิจเกิดขึ้นเป็นประจำวันกลายเป็นเรื่องชาชิน สำหรับรายงานข่าวผู้เสียชีวิตวันละหนึ่งศพสองศพ สำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อนั้นก็ไม่เลือกเป็นใครก็ได้ ทั้งเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านไม่ว่านับถือศาสนาใด หรือแม้แต่พระสงฆ์ มีความเสี่ยงไม่ได้แตกต่างกันเลย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนถือศีลอดหรือเดือนรอมฎอนได้เกิดเหตุก่อความรุนแรงทั้งลอบวางระเบิดแบบคาร์บอมบ์ และลอบยิงเจ้าหน้าที่และชาวบ้านเกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ บางเหตุการณ์ได้ก่อเหตุอุกอาจถึงขั้นยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่กันกลางถนนในพื้นที่ชุมชนบ่อยครั้งมากขึ้น ล่าสุดได้ลอบวางระเบิดด้านหลังของโรงแรมซี.เอส.ปัตตานี แม้ว่าไม่มีคนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บแบบสาหัส แต่ความหมายของคนร้ายต้องการสร้างสัญลักษณ์ว่าพวกเขาสามารถก่อเหตุที่ไหนก็ได้ ทำลายพื้นที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องตำหนิรัฐบาลว่า “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” ทั้งที่มีกลไกทุกอย่างในมืออย่างเบ็ดเสร็จ แต่กลับกลายเป็นว่ารัฐบาลชุดนี้กลับไม่เคยให้ความสำคัญ พิสูจน์กันง่ายๆ ก็คือในช่วง 1 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากในช่วงหาเสียงเลือกตั้งชั่วครั้งชั่วคราวแล้ว แทบจะไม่เคยลงไปสัมผัสพื้นที่หรือลงไปให้กำลังใจกับพี้น้องชาวบ้าน รวมทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการเลย อาจเป็นเพราะพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ใช่ฐานเสียง หรือไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่า “ถ้าพื้นที่ไหนเลือกเราก็ให้ดูแลพื้นที่นั้นก่อน”
หรือแม้แต่การตั้งศูนย์ปฏิบัติการดับไฟใต้ หรือ “เพนตากอน 2” อะไรนั่น ฟังดูโก้หรูดูเท่ดี มีการมอบอำนาจให้ 3 รองนายกฯ มาดูแลแยกกันไปเช่น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ดูแลฝ่ายทหาร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ดูแลตำรวจ และยงยุทธ วิชัยดิษฐ ดูแลฝ่ายปกครอง เช่น ผู้ว่าฯ นายอำเภอ โดยศูนย์ดังกล่าวบัญชาการจากในกรุงเทพฯ โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เสนอให้ประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ขณะที่ล่าสุด “มือสังหาร” ที่มัสยิดกรือเซะ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีก็เสนอให้กองทัพเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ใช้วิธีรบแบบกองโจรตอบโต้โจรใต้ และให้เข้าหาเป้าหมายแล้วทำลายทันที ซึ่งต่อมาได้รับการสนับสนุนจากรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ยุทธศักดิ์ และบอกว่าในการประชุมฝ่ายความมั่นคงจะเสนอให้มีการบูรณาการด้านงานข่าว การทำงานให้เป็น “เอกภาพ” มากขึ้นกว่าเดิม พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าที่ผ่านมา “ต่างคนต่างทำ” นั่นเองทำให้ล้มเหลวอย่างที่เห็น
การใช้วิธีแบบกองโจรตอบโต้ดังกล่าวมันก็ไม่ต่างจากการใช้ความรุนแรงปราบปราม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่เคยได้ผล ไม่เคยชนะ และที่บอกว่าให้ค้นหาเป้าหมายแล้วทำลายนั้นหากทำได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใครด้วยซ้ำ เคลื่อนไหวตรงไหนบ้าง ไม่เช่นนั้นคนร้ายคงไม่ลงมือได้อย่างสะดวก การติดตามจับกุม หรือการหาเบาะแสทำได้ยาก เพราะไม่ได้รับความร่วมมือ ไว้วางใจจากชาวบ้าน ดังนั้นการค้นหาเป้าหมายแล้วกวาดล้างมันก็ยิ่งเสี่ยงต่อการลุกเป็นไฟ โอกาสที่จะแยกดินแดนสูงยิ่ง
ทั้งที่จะว่าไปแล้วการแก้ปัญหาชายแดนใต้แม้จะยาก แต่เชื่อว่าแก้ไขได้ หากรัฐบาลมีความจริงใจ ใช้องคาพยพกลไกรัฐที่มีอยู่เดิมให้ทำงานอย่างเป็นเอกภาพร่วมมือกันอย่างชัดเจน และที่สำคัญต้องใช้คนที่เข้าใจพื้นที่ละเอียดอ่อน มีปมประวัติศาสตร์ยาวนานเข้าไปทำงานโดยไม่เลือกเขาเลือกเรา และอย่าดีแต่พูดอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น!!