ผ่าประเด็นร้อน
นับว่าน่าเศร้า น่าอัปยศจริงๆ สำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เวลานี้สถานการณ์ได้ขยายบานปลายลุกลามจนเอาไม่อยู่แล้ว เพราะความไม่เอาไหน ไม่เอาใจใส่ เพียงเพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ฐานเสียงหลักของตัวเอง เหมือนกับที่ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งมีอำนาจว่า “พื้นที่เลือกเราให้ดูแลพื้นที่นั้นก่อน”
แต่ในยุคปัจจุบันนอกจากไม่เหลียวแลแล้ว การมอบหมายคนที่รับผิดชอบก็ล้วนแล้วแต่ไร้ประสิทธิภาพ มีแต่เส้นสายแต่งตั้งคนของตัวเองแทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งล่าสุดมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการดับไฟใต้ ที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีแต่ละคนไปดูแลล้วนแล้วแต่สร้างความหดหู่ หรือฟังการให้สัมภาษณ์ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสำหรับการแก้ปัญหาเผชิญแล้วยิ่งชวนหดหู่ เน้นแต่เรื่องเอามัน ไม่เข้าใจถึงความละเอียดอ่อนของพื้นที่ ยิ่งกลับสร้างความรุนแรงบานปลายมากขึ้นไปอีก
ก่อนจะว่ากันในรายละเอียดเหตุการณ์ข้างหน้า ก็ต้องย้อนหลังให้เห็นถึงความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งก็ไม่มีทางเกินเลยหากระบุกันตรงๆ ว่าเกิดขึ้นในยุคที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เริ่มนโยบายปราบปรามยาเสพติด ที่ใช้วิธีแบบ “ทำยอด” สร้างผลงาน และ “สันดาน” แบบ “รัฐตำรวจ” เน้นความสะใจฉาบฉวย
หากจะว่าไปแล้ววิธีการดังกล่าวหากไปใช้ในพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศไทยรับรองว่า “ฉิบหาย” มาเยือนแน่ เพียงแต่ว่ายังไม่ปรากฏผลออกมาในทันที แต่สำหรับพื้นที่ชายแดนภาคใต้หากเมื่อใดก็ตามที่ทำแบบนี้ความหายนะก็จะยิ่งบังเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า อย่างที่เห็นเป็นผลพวงที่กำลังมาถึง
ในยุคทักษิณ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดที่เน้นทำยอด จนทำไปสู่การอุ้มฆ่า ฆ่าตัดตอน จนนำไปสู่เหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ถัดมาก็เป็นเหตุการณ์ตากใบ และที่มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเคียดแค้นชิงชัง และเมื่อมีการปลุกระดมโดยใช้เงื่อนไขในพื้นที่ และประวัติศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน มันก็ยิ่งฝังรากลึก ยากแก่การเยียวยาแก้ปัญหา
ต้องยอมรับว่าพื้นที่ชายแดนใต้เป็นพื้นที่พิเศษ และละเอียดอ่อน ไม่เหมือนพื้นที่อื่น เพราะมีความแตกต่างทางด้านความเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรม มีทั้งเงื่อนปมทางประวัติศาสตร์ เป็นปัญหาเรื้อรัง ทำให้ล้าหลัง มีความยากจน สารพัดปัญหาที่หมักหมม จนยากแก่การแก้ปัญหา ดังนั้นคนที่ลงไปแก้ปัญหา หรือรับผิดชอบในพื้นที่ต้องมีความ “พิเศษ” มีความรอบรู้ มีความเก่งกาจ และเสียสละจริงๆเท่านั้น
ปัญหาของชายแดนใต้ที่ลุกลามบานปลายมีสาเหตุมาจากความไม่รู้และที่สำคัญมาจาก “นิสัยของตำรวจเลว” ของ ทักษิณ ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวยเอาหน้าด้วยความเคยชินด้วยการให้แข่งขันการสร้างผลงาน เช่น ต้องแก้ปัญหาภายใน 3-6 เดือน จนนำไปสู่การอุ้มฆ่า ฆ่าตัดตอน ปัญหาที่เคยคุกรุ่น ความแตกต่าง การข่มเหงรังแกจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกอย่างก็เลยระเบิดขึ้นมา และคุมไม่อยู่
ที่ผ่านมาหากสังเกตให้ดีจะพบว่า การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่มักมองในเรื่องของการเมือง การเป็นพวกใคร มากกว่าเน้นในเรื่องความรู้ความสามารถ หรือเข้าใจปัญหาในพื้นที่ มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่ รวมทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่ที่ถูกลงโทษหรือมีพฤติกรรมไม่ดีลงไป ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมเพิ่มปัญหามากขึ้นไปอีก
ปัญหาชายแดนใต้แม้จะยอมรับกันว่ามีความสุดหิน แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ แต่ที่สำคัญต้องแก้ไขทัศนคติของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับบนจนถึงระดับล่าง อีกทั้งต้องแก้ไขในเรื่อง “เอกภาพ” การทำงานให้สอดคล้องกันให้ได้ทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และพลเรือนฝ่ายปกครอง ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับความจริงว่า “เรื้อรัง” มานาน และไม่เคยแก้ไขอย่างจริงจัง หรือต่างคนต่างทำ บางครั้งมีการประเภท “ธุระไม่ใช่” มีการทำธุรกิจเถื่อน มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั่นแหละตัวการ หรือเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือมีการ “เลี้ยงไข้” สร้างสถานการณ์เพื่อกินงบประมาณ เบี้ยเลี้ยง ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคน ซึ่งที่ผ่านมามีการนินทาให้ได้ยินเข้าหูตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการบั่นทอน ทำลายขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่อื่นๆที่ตั้งใจแก้ปัญหา และเสี่ยงชีวิตในพื้นที่
ล่าสุด นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้สั่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการดับไฟใต้ขึ้นโดยมี 3 รองนายกฯ เข้ามารับผิดชอบ เช่น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รับผิดชอบด้านกองทัพ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รับผิดชอบฝ่ายปกครอง และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ดูแลด้านตำรวจ หากมองเผินๆมันก็ดูขึงขังจริงจัง น่าจะได้ผลดี แต่ขอปรามาสล่วงหน้าว่าเหลวอีก เพราะมันซ้ำซ้อนรุ่มร่ามไม่สามารถปฏิบัติการได้จริง แทนที่จะไปเน้นกระชับโครงสร้างที่มีอยู่แล้วให้เดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่มีนายกฯเป็นผู้อำนวยการ ซึ่งอาจมอบอำนาจให้รองนายกฯสักคนหนึ่งดูแลรับผิดชอบในพื้นที่โดยตรง เหมือนกับ มีทำเนียบฯส่วนหน้าในพื้นที่ คอยประสานงาน แก้ปัญหาระหว่างหน่วยงาน แต่ที่สำคัญต้องเน้นงานมวลชนควบคู่ไปกับการใช้กำลังรักษาความปลอดภัย
โดยเฉพาะยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งที่ผ่านมามีแต่การท่องจำเท่านั้น ยังไม่ได้ปฏิบัติให้ได้ผลจริงจัง ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเหตุร้ายรุนแรงถี่ยิบอย่างที่เห็นแน่นอน เพราะการที่คนร้ายเคลื่อนไหวก่อเหตุอย่างอุกอาจได้ในทุกพื้นที่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าการข่าว ความร่วมมือและความไว้วางใจจากมวลชนในพื้นที่ “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง ยังไม่อาจ “เข้าใจและเข้าถึง” ได้อย่างที่ควรจะเป็น
ขณะเดียวกัน หากกล่าวกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ล้มเหลวในการแก้ปัญหาชายแดนใต้อย่างสิ้นเชิง ทั้งที่หากจะว่าไปแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนใกล้ชิดไว้ใจได้ลงไปคุมทั้ง เลขาฯ ศอ.บต.ที่ชื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ ตำรวจ ทั้งที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ และว่าที่คนต่อไปคือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ผ่านมานับปีแล้วเป็นอย่างไรบ้าง อย่าว่าแต่ดีขึ้นเลยเอาแค่ประคองสถานการณ์ให้เหมือนเดิมก็ล้มเหลว แล้วแบบนี้จะให้ทำอย่างไร จะชมเชยไว้หน้าว่ามาถูกทางอย่างนั้นหรือ
นี่เป็นเรื่องอธิปไตย ความเป็นตายของชาวบ้าน มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบ โดยเฉพาะรัฐบาลที่สร้างปัญหาให้ปะทุขึ้นมาจนลุกลาม เพราะหากบอกว่า ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นพี่ชายทำให้ชายแดนใต้ลุกเป็นไฟ และอาจจะต้องหลุดลอยไปในยุคของน้องสาวคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นได้ หากยังทำงานห่วยแตกกันแบบนี้!!