“อำมาตย์เต้น” เมินภูมิใจไทยจ่อทุ่มเสียงโหวต อ้างประชามติเป็นเจตนารมย์ประชาชนไม่เกี่ยวพรรค รอดูคำวินิจฉัยกลางศาลรัฐธรรมนูญก่อน โยนดุลพินิจนายกฯ ปรับ ครม. โวเสียงรัฐมีเสถียรภาพพอ โต้ “มาร์ค” บอกหนีทหารเรื่องเก่า ชี้สาระสำคัญอยู่ที่รับราชการโปร่งใสหรือไม่ งงไม่ใช้ยศร้อยตรี
วันนี้ (20 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 10.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณว่าจะเทคะแนนเสียงหากมีการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า หากมีการทำประชามติไม่ใช่เรื่องพรรคไหนที่จะเทคะแนนให้ใครแต่เป็นเจตนารมณ์ของประชาชนที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญมาจากรัฐประหารและขัดต่อหลักประชาธิปไตย ประชาชนก็จะออกมาให้คะแนน ทั้งนี้ เห็นว่าถ้ามีพรรคการเมืองใดถือคะแนนเสียงของประชาชนและคิดว่าจะโยกซ้ายโยกขวาได้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะคะแนนเสียงทั้งหมดเป็นอำนาจของประชาชน ถ้าการทำประชามติทุกคะแนนแต่ละพรรคมีการเทคะแนนให้กันเชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ถ้าเป็นเจตนาบริสุทธิ์เกิดจากความรู้ความเข้าใจของประชาชนนั่นถือว่าเป็นการปกครองสูงสุดของประเทศอย่างแท้จริง
เมื่อถามว่า มองท่าทีของพรรคภูมิใจไทยที่ออกมาว่าอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทั้งนี้ได้เห็นแกนนำพรรคที่เป็นตัวตนในส่วนของแกนนำพรรคภูมิใจไทยว่า ทั้งนี้ส่วนตัวเอาท่าทีของแกนนำพรรคที่ปรากฏชัดว่าไม่มีเรื่องดังกล่าว
เมื่อถามว่า ควรจะมีการโหวตในวาระ 3 เลยหรือต้องมีการทำประชามติก่อน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทยชัดเจนหมดแล้วแต่ขณะนี้มีจุดร่วมกันคืออยากให้เห็นคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งตรงจุดนี้เป็นจุดร่วมที่คนทั้งประเทศรับได้ เพราะเป็นเหตุเป็นผล เนื่องจากคำวินิจฉัยที่ผ่านมาไม่มีสถานะเป็นคำตัดสินแต่ถือเป็นคำแนะนำ ทั้งนี้ ต้องการดูว่าลายลักษณ์อักษรและกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะมีการหารืออีกครั้ง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ภูมิใจไทยออกมาส่งสัญญาณการปรับ ครม.ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นดุลพินิจนายกฯ ที่จะตัดสินใจโดยส่วนตัวเห็นว่า เสียงของรัฐบาลและพรรคร่วมก็มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศกับประชาชนไว้ได้ ทั้งนี้ก็ไม่เห็นว่าพรรคร่วมพรรคใดจะมีปัญหาในการทำงาน ทั้งนี้ การปรับ ครม.เป็นแต่เพียงการคาดการณ์ของสื่อมวลชนแต่ยังไม่มีการส่งสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี
นายณัฐวุฒิยังกล่าวถึงกรณีการหนีราชการทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ได้เป็นผู้ร้องแต่มีผู้อื่นไปร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และได้มีการสอบถามไปยังกระทรวงกลาโหม ซึ่งกระทรวงกลาโหมก็ได้มีการดำเนินการ แต่นายอภิสิทธิ์พยายามบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเก่า ซึ่งสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่เก่าหรือใหม่แต่อยู่ที่นายอภิสิทธิ์หนีทหารหรือไม่
“หากบ้านเมืองนี้มีผู้นำประเทศเป็นชายไทยที่หนีทหาร จะรักษาความสง่างามได้อย่างไร หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งมีผู้นำเป็นชายไทยที่หนีทหาร ท่านจะทำการเมืองโดยประกาศความโปร่งใสกับประชาชนได้อย่างไร ซึ่งการที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าได้ชี้ในสภาครบถ้วนแล้วแต่เหตุใดผลการตรวจสอบของกระทรวงกลาโหมไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังพบพิรุธ และหากจะบอกว่าการไปสอนหนังสือที่โรงเรียนนายร้อยเป็นการชดเชยการเกณฑ์ทหารได้ก็น่าแปลกใจอีกว่ารับราชการ 300 กว่าวัน แต่ลาราชการ 200 กว่าวัน และหลังจากนั้นก็ลาออก แสดงว่าการสมัครเข้าที่โรงเรียนนายร้อยเป็นการเอาไว้อธิบายเรื่องนี้แต่อย่างไร ส่วนการที่นายอภิสิทธิ์ไม่ใช้คำว่าร้อยตรีนำหน้า ถือว่าเป็นสิทธิตามกฎหมาย แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วเมื่อเข้ารับราชการอย่างโปร่งใสก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปกปิดอะไร ซึ่งก็มีเยอะแยะ อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ร.ต.อ.เฉลิม แล้วทำไมถึงไม่มี ร.ต.อภิสิทธิ์ หรือต้องการให้เรื่องนี้เป็นเพียงขยะที่ซุกไว้ใต้พรมที่บ้านหรือไม่ จึงอยากให้นายอภิสิทธิ์แสดงความชัดเจนออกมา” นายณัฐวุฒิกล่าว