โฆษกเพื่อไทยยันทีมทนายมั่นใจแจงศาลรัฐธรรมนูญได้ เย้ยฝั่งผู้ร้องเสนอหลักฐานเดิมๆ ดักคอตุลาการไม่ใช้อนาคตมาตัดสิน แต่อ้างไม่มีใครกดดัน ซัด “สุเทพ” อย่าโยนบาปแดง ไม่หนักใจศาลรับคำร้องพันธมิตรฯ ยันนายกฯ ไม่ยุบสภาก่อนวินิจฉัยแน่ จวก “กษิต” ด่ามะกันชักศึกเข้าบ้าน ปัดก๊วน 111 บีบปรับ ครม. ไล่ ปชป.เอาป้ายแพงทั้งแผ่นดินออก
วันนี้ (8 ก.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ทีมทนายความพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นเอกสารขอแถลงปิดคดีในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ โดยมั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการใช้อำนาจตามกระบวนการ และไม่ล้มล้างการปกครอง ทั้งนี้ หลังจากฟังการไต่สวนเมื่อวันที่ 5-6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางฝ่ายผู้ร้องยังนำเสนอหลักฐานเดิม และเป็นเครือข่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลพรรคเพื่อไทย อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการพิจารณาในการไต่สวน อีกทั้งมีกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีธง ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีธงตามที่มีกระแสข่าว และพรรคเพื่อไทยยังเชื่อว่าศาลจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง และจะไม่ใช้อนาคตมาตัดสิน ซึ่งหากพิจารณาจะเห็นธาตุแท้ว่าส่วนใหญ่เป็นขาประจำที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็หวังว่าการตัดสินในวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม อาจจะสร้างความสุขให้หลายๆฝ่ายได้ แต่หากคำตัดสินออกมาไม่ถูกใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถ้าการตัดสินถูกต้อง 13 กรกฎาคมก็จะเป็นการชี้ชะตาประเทศและประชาชน เพราะคำวินิจฉัยมีความสำคัญสูงสุดต่อบ้านเมือง
ส่วนกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียกร้องไม่ให้ทางคนเสื้อแดงและกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยออกมากดดันศาลรัฐธรรมนูญ นายพร้อมพงศ์ปฏิเสธว่าไม่มีใครกดดันศาลรัฐธรรมนูญ การพูดของนายสุเทพเป็นการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งนายสุเทพไม่ควรทำเช่นนี้ ไม่ควรดูถูกประชาชน ควรหยุดพฤติกรรมโยนบาปให้กับคนเสื้อแดงและกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เอาผิด ส.ส.และ ส.ว.ที่โหวตแก้รัฐธรรมนูญมีความผิดว่า ขณะนี้ ส.ส.และ ส.ว.ได้รับเอกสารชี้แจงแล้ว ซึ่งเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยไม่หนักใจ และทางพรรคจะเรียกประชุม ส.ส.ในสัปดาห์หน้า เพื่อทำความเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของเอกสิทธิ์ ส.ส.ในการนำเสนอกฎหมายต่อรัฐสภา
ส่วนกรณีคลิปเสียงของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายพร้อมพงศ์ชี้แจงว่า พรรคเพื่อไทยทราบการชี้แจงของนายสมศักดิ์แล้ว และแกนนำพรรคไม่ได้ติดใจอะไร เพราะทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นซึ่งจะถูกหรือผิดผิดมีก็ล้วนมีเจตนาดีต่อบ้านเมืองทั้งสิ้น ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเอาผิดยื่นสอบจริยธรรม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และประธานสภา ถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระแทบทั้งสิ้น เป็นการเล่นการเมืองเกินเหตุ ทำให้ประเทศเสียหาย เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับกรณีนาซา เป็นต้น ซึ่งกรณีคลิปของนายสมศักดิ์ พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ควรจบได้แล้ว และควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ยังยืนยันว่านายกรัฐมนตรีจะไม่ยุบสภาก่อนศาลตัดสินแน่นอนและนายกรัฐมนตรีก็ไม่ใช่ กรรมการบริหารพรรค ซึ่งแม้ว่ามีการยุบพรรคก็เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อรัฐบาล
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่สหรัฐอเมริกาให้วีซ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นมีความไม่เหมาะสมว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวหาว่ารัฐบาลให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อแลกวีซ่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่เป็นเรื่องจริง และการที่นายกษิตตำหนิสหรัฐอเมริกาให้เลิกเป็นผู้นำอำนาจก็ถือว่าไม่เหมาะสม การปล่อยให้นายกษิตกล่าวหาสหรัฐอเมริกาอาจจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ดังนั้นนายกษิตและพรรคประชาธิปัตย์ควรอยู่เฉยๆ และให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำเนินงาน
ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีก่อน 1 สิงหาคม ที่มีการนำเสนอว่าบ้านเลขที่ 111 กดดันให้มีการปรับ ครม.นั้น นายพร้อมพงศ์ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เรื่องดังกล่าวถือเป็นสีสันทางการเมือง เพราะการปรับ ครม. เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งช้าหรือเร็วก็อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และการปรับจะเป็นไปเพื่อการบริหารงานที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และไม่มีต่างตอบแทนบ้านเลขที่ 111 ตามที่สื่อนำเสนอ
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหารัฐบาลว่ารัฐบาลแพงทั้งแผ่นดินว่า จากการติดตามราคาสินค้าขณะนี้ไม่เป็นไปตามที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา เพราะวันนี้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดตามฤดูกาล ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ควรเอาป้ายแพงทั้งแผ่นดินออกได้แล้ว และในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมนี้คณะกรรมการที่พรรคเพื่อไทตตั้งขึ้นมาติดตามปัญหาของแพง จะนำเสนอข้อมูลให้กระทรวงพาณิชย์และ น.ส.ยิ่งลักษณ์นำไปดำเนินการอีกครั้ง