ผ่าประเด็นร้อน
ต้องบอกว่าคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมาถือว่าลึกล้ำและเป็นการหาทางออกให้แก่บ้านเมือง เป็นการลดความตึงเครียดลงได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ทำให้แต่ละฝ่ายได้ถอยกลับที่ตั้งชั่วคราวก่อน แต่หากพิจารณาจากความเสียหายเฉพาะบุคคล ถือว่าแตกต่างกันลิบลับเทียบกันไม่ได้
สำหรับความหมายของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญสามารถจับประเด็นได้ 4 อย่าง คือ ต่อไปนี้หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือพบว่ามีใคร คณะใดคิดจะล้มล้างการปกครองฯ คิดจะฉีกรัฐธรรมนูญอีกคนไทยทุกคนก็สามารถยื่นตรงต่อศาลได้เลย เพราะหากมัวแต่ยื่นไปทางอัยการสูงสุดก็ไม่ทันการณ์ อีกทั้งอัยการก็แค่พิจารณาวินิจฉัยได้ในเบื้องต้นเท่านั้น
ดังนั้น การยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลมันก็ไม่ใช่ประเภท “ขี้หมูราขี้หมาแห้ง” รกศาล ตรงกันข้ามเป็นเรื่องใหญ่ ที่สำคัญเป็นการวินิจฉัยตั้ง “องค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” โดยประชาชนขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว
ประเด็นต่อมาคือ หากจะแก้ไขทั้งฉบับก็ต้องมีการลงประชามติถามประชาชนก่อนว่าเขาอนุญาตหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 เขาลงมติกันมาถือว่าเป็นเจ้าของร่วม จะมาอ้างว่าทีฉบับปัจจุบันก็ร่างขึ้นมาก่อนแล้วลงประชามติทีหลังมันก็ใช่ แต่ทีนี้ถ้าจะแก้ก็ต้องมาถามสักคำก่อนสิตามมารยาทต้องมาถาม “เจ้าของ” เขาก่อนถ้าเขาอนุญาตให้ร่างใหม่ทั้งฉบับก็เอาเลย แต่ปัญหาก็คือ ทักษิณ ชินวัตร คนที่อยู่เบื้องหลังทุกเรื่องจะกล้าเสียเวลาหรือไม่ อีกทั้งหลังจากนั้นมันก็คุมเกมไม่ได้เสียด้วยสิ นี่แหละเรื่องใหญ่
อย่างไรก็ดี ศาลได้แนะให้แก้ไขรายมาตรา เพื่อเป็นการปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์ตรงตามเจตนารมณ์ของมาตรา 291 แต่ปัญหาก็คือการจะแก้ไขรายมาตราดังกล่าวนอกจากต้องการมีการเปิดเผยถึงความจำเป็น และเหตุผลในการแก้ไข ซึ่งถ้าพิจารณากันตามเหตุผลแล้วมันก็ไม่มี มันมีแต่ความต้องการด้วยเหตุผลส่วนตัวเฉพาะบุคคลล้วนๆ อย่างเช่น เป้าหมายต้องการแก้ไขหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เท่านั้น
หากจำไม่ได้หรือไม่รู้สาระสำคัญก็จะนำมาทบทวนอีกที มาตราดังกล่าวระบุว่า “บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้” เข้าใจหรือยังว่าทำไมถึงต้องเลิก แต่จะทำโดยเปิดเผยก็กลัวว่าชาวบ้านเขาจะโมโหก็เลยคิดที่จะใช้พวก ส.ส.ร.เข้ามาเขียนใหม่ เหตุผลก็เดากันล่วงหน้าไม่ยากนั่นคือบูชาประชาธิปไตย อ้างว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวร่างโดยเผด็จการ
ดังนั้น หากพิจารณากันเฉพาะหน้าตรงนี้ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตจะมีอุปสรรคมากขึ้น นั่นคือจะไม่เป็นผลบวกเฉพาะ ทักษิณ เมื่อโอกาสริบหรี่มันก็เป็นไปได้ว่าจะหันหัวเรือมาที่การเสนอร่างพระราชบัญญัติลบล้างความผิด (ชื่อปรองดองตบตา) อีกรอบ ซึ่งสาระสำคัญก็ไม่ต่างจากการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309 นั่นแหละ แต่การเสนอพระราชบัญญัติมันง่ายกว่าใช้แค่เสียงข้างมากก็ทำได้แล้ว ที่สำคัญรวบรัดได้ทันใจ และที่น่าจับตาก็คือร่างกฎหมายดังกล่าวยังคาอยู่ในวาระด่วนอันดับแรก เมื่อสภาเปิดประชุมก็สามารถหยิบขึ้นมาพิจารณาทันทีก็ได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในทางหลักการและขั้นตอนทางกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ แต่ปัญหาก็คือเวลานี้ชาวบ้านแทบทุกกลุ่มไม่เอาด้วย แม้แต่คนเสื้อแดงไม่น้อยก็กระอักกระอ่วน เท่าที่เห็นก็มีกลุ่มพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ประกาศไว้ล่วงหน้าแล้วว่าถ้าสภายังดึงดันพิจารณาอีกก็จะกลับมาและคราวนี้จะยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทันที เพราะถือว่ารู้เห็นเป็นใจ มันจะยุ่งตรงนี้แหละว่าจะหน้ามืดกล้าเสี่ยงแบบนี้หรือไม่
ที่สำคัญนับวันกระแสสังคมเริ่มพลิกผันรับรู้มากขึ้นว่าทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติล้างผิด มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาวบ้าน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง “ปากท้อง” ที่กำลังชักหน้าไม่ถึงหลังแต่อย่างใด กลางเดือนหน้าเห็นว่าราคาก๊าซหุงต้มจะขึ้นราคาอีกแล้ว ขืนดันทุรังดีไม่ดีคนเขารำคาญจะอยู่ลำบาก เพราะจะถูกมองว่าเห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่นร่ำไป ความอดทนมีจำกัดเหมือนกัน
ดังนั้น แม้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นต่อมาว่าการแก้ไขมาตรา 291 ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการล้มล้างการปกครองฯเนื่องจากเหตุการณ์ยังไม่เกิด ไปคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ต้องยกประโยชน์ให้จำเลย ยกคำร้อง รวมไปถึงคดียุบพรรคก็ไม่ต้องไปกล่าวถึงด้วย เพราะไกลไปอีก
แต่ก็นั่นแหละ แม้ว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวสามารถลดความตึงเครียดลงได้ชั่วคราว ย้ำว่าแค่ชั่วคราว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายทักษิณ จะกำหนดท่าทีต่อไปอย่างไร ถ้าฉลาดก็น่าจะรับฟังศาล เพราะยิ่งเดินหน้ามันก็ยิ่งติดหล่มเสียหายหนัก พังกันทั้งครอบครัวแน่!!