สะเก็ดไฟ
เล่นบทขย่มกันตั้งแต่หัวถึงหางสำหรับสมุนบ่าว “นายห้างดูไบ” ที่นัดหมายเรียงคิวกันออกมาโจมตี “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก่อนวันชี้ชะตาประเทศ “ศุกร์ 13 ก.ค.” กันแบบไม่หยุดพัก
ตามจังหวะ “ขู่ฟ่อ” กะข่มกันให้กลัวไปเลย ไล่เรียงตั้งแต่ขุนศึกย่านฝั่งธน “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่สวมบทหมอเดาเก็งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาตลอดทั้งสัปดาห์
ฟันธงว่า ที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้อง หรือกรณีเลวร้ายที่สุดก็ให้กลับไปแก้ไขกันใหม่เป็นรายมาตรา แถมปากกล้าขาสั่นด้วยว่าต่อให้ยุบพรรคเพื่อไทย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็ยังอยู่เพราะ “ปูนิ่ม” และบรรดา ส.ส.เกือบยกพรรคไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค
แต่พอเห็นผลงานบรรดามือกฎหมายที่ไปชี้แจงถูกฝ่ายผู้ร้องและตุลาการซักจนเป็นใบ้หลายต่อหลายครั้ง เมื่อวันที่ 5-6 ก.ค.ที่ผ่านมา “กุมารทองคะนองศึก” ก็เหมือนรู้ชะตาว่าท่าไม่ดี รีบเปลี่ยนบทจาก “หมอเดา” มาสวมวิญญาณ “อันธพาลฝั่งธน” ท่องคาถาขู่ศาลผ่านจอโทรทัศน์กันสองวันติด หากตัดสินผิดพลาด ประเทศชาติจะวุ่นวายแน่
ตามอาการเปลี่ยนบทก็ชักหวั่นๆอยู่เหมือนกัน และก็น่าหัวร่อ เขาขึ้นโรงขึ้นศาลชี้แจงกันอุตลุด แต่ตัวเองที่อวดอ้างว่าเป็นซือแป๋ทางกฎหมายคนหนึ่ง ไม่ยักกะไปร่วมวงกับเขา เอาแต่เก่งข้างเวที..
จบคิวหมวดบู๊ “หัวหมู่เฉลิม” ยังมีพวกอารมณ์ค้างพาเหรดกันมาเป็นกระพรวน โดยเฉพาะ “พ่อใหญ่จิ๋ว - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผลุบๆ โผล่ๆ เดี๋ยวมาเดี๋ยวหาย รอบนี้ก็สวมวิญญาณหมอดูหมอเดากับเขาด้วย เล่นใบ้เลขปริศนา “68-77-7” ที่อ้างว่าจะเป็นรหัสลับที่นำพาประเทศชาติออกจากวิกฤตครั้งนี้ได้
แม้เจ้าตัวจะไม่พรรณนาขยายความว่าตัวเลขทั้ง 3 ที่ออกมามีใจความบ่งบอกอะไร แต่เหล่านักกฎหมาย นักการเมืองทั้งหลายก็ตีความกันได้ โดยเฉพาะนัมเบอร์ “68” ที่จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากมาตรา 68 ที่กำลังกุมชะตากรรมของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ขณะนี้
ขณะที่รหัสลับสองตัวที่เหลือหากพลิกตำรากฎหมายกางดูเนื้อหาในมาตรา 77 และมาตรา 7 จะว่าไปก็มีอะไรๆ ที่เชื่อมโยงกันในเลขปริศนาทั้งหมดที่เจ้าตัวพรีเซนต์เหมือนกัน ส่วนจะใช่ ไม่ใช่อย่างไร คงให้อดีตนายกฯรายนี้เฉลย
นอกจากโค้ดลับที่ “พล.อ.ชวลิต” จงใจปั่นกระแสแล้ว ใจความในจดหมายที่เจ้าตัวให้ลูกน้องคนสนิทร่อนออกมา ถอดแต่ละคำ แต่ละความ ก็มิน่าใช่เจตนาดี ตรงกันข้าม ประเด็นส่วนใหญ่แทบจะไม่แตกต่างจากแกนนำคนเสื้อแดงอื่นๆ ที่ก็พุ่งเป้าและบีบเค้นศาลรัฐธรรมนูญทางอ้อม
ทว่า น้ำหนักและแรงบีบในครั้งนี้ก็ไม่ได้มีความรุนแรงพอที่จะทำให้ศาลต้องภวังค์หวั่นไหวไม่ เพราะต้องอย่าลืมว่า “บิ๊กจิ๋ว” ในวันนี้แทบไม่ต่างจาก “แผ่นเสียงตกร่อง” ที่แม้แต่คนในพรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่ให้ราคา ตามคิวตามฉาก ก็แค่ออกมาตีฆ้องร้องป่าวให้สปอร์ตไลท์หันมาส่องมาฉายเท่านั้นเอง
กระนั้นก็มีความน่าสนใจที่ไม่อาจมองข้ามได้เหมือนกัน เพราะหากจับสัญญาณบรรดาพวกตัวใหญ่ในพรรคต่อแถวกันมากดดันศาลอย่างหนักหนนี้ มันก็เหมือนออกมายอมรับสภาพตัวเองแบบล่อนจ้อนว่า เพลี่ยงพล้ำเรียบร้อยแล้ว จึงใช้มาตรการสุดท้ายบีบ
บางที “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหลบหนีคดี และลิ่วล้อเพื่อไทยคงได้กลิ่นไม่ดีและคำตอบออกมาจากฟากฝั่งตุลาการเข้าให้แล้วก็ได้!!