ถึงวันนี้ เป็นที่รับรู้กันแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งฉบับทำได้หรือไม่ เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่ และพรรคเพื่อไทยที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูณจะถูกยุบพรรคหรือไม่
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูณจะออกมาอย่างไร คงไม่ทำให้บ้านเมืองเกิดวิกฤติหนักหนาไปกว่าที่เป็นอยู่แล้ว พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนแดงพยายามปั่นกระแส“ศุกร์ -13” ให้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ที่จะชี้เป็นชี้ตายอนาคตของบ้านเมือง ก็เพื่อกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องของคนๆ เดียว คือ นช.ทักษิณ ชินวัตร หากศาลยกคำร้องของผู้ร้องกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อยุบองค์กรอิสระให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจเหนือฝ่ายตุลาการ และเพื่อลบล้างความผิดให้ นช.ทักษิณ ก็เดินหน้าต่อไป
หากศาลเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ไขทั้งฉบับซึ่งขัดกับ มาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ จึงทำไม่ได้ ทำได้เฉพาะการแก้ไขรายมาตรา วันเวลาที่ นช.ทักษิณจะกลับบ้านอย่างเท่ๆ ก็จะต้องเนิ่นนานออกไป ก็แค่คิด จะเล่นไพ่ใบไหนต่อไปเท่านั้นเอง
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เป็นเรื่องที่สื่อคิดกันไปเองมากกว่าว่าคำวินิจฉัยนี้จะมีผลชี้ขาดชะตาบ้านเมือง
เรื่องที่จะทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ ปลุกให้ประชาชนไม่ว่ จะสังกัดสีเสื้อไหนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลจนเกิดความวุ่นวายไปทั่วคือ โครงการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาแบบบูรณาการและยั่งยืน ของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ หรือ กบอ. ที่มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธาน
เพราะโครงการที่ใช้งบประมาณมหาศาลถึง 3.5 แสนล้านบาท และมีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นทีภาคกลาง ภาคเหนือตอนบน หลายสิบล้านคน ที่บ้านเรือน ที่ทำกินจะต้องถูกน้ำท่วมนี้ มีการบริหารจัดการราวกับว่า บ้านเมืองอยู่ในยุคเผด็จการที่ผู้ปกครองเท่านั้นที่รู้ดีว่าอะไรถูกอะไรผิด ประชาชนถูกปิดหูปิดตา มีหน้าที่ทำตามเท่านั้น
แค่ความคิดที่จะจ้างฝรั่งต่างชาติมาวางแผนการจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนก็ผิดแล้ว ประเทศไทยมีพระบิดาแห่งการจัดการน้ำที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริ ทรงทำให้ดูครบถ้วนทุกกระบวนท่า ทั้งปัญหาน้ำแล้ง และน้ำท่วม นายปลอดประสพไม่เคยรับรู้ ไม่เคยศึกษาพระราชกรณียกิจในเรื่องน้ำของพระองค์เลยหรือ
นอกจากนั้น หน่วยงานต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องน้ำในประเทศไทย มีอยู่มากมาย ที่มีความเชียวชาญ สั่งสมประสบการณ์ ในงานที่รับผิดชอบมาอย่างยาวนาน เพียงแต่ว่าต่างคนต่างทำ ไม่ได้มีการบูรณาการกันอย่างจริงจังเท่านั้น แต่หน่วยงานเหล่านี้รู้ดีและเก่งกว่าต่างชาติแน่นอน เพียงแต่ไม่มีผู้นำที่จะบูรณาการความรู้และทักษะให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองที่จะต้องสั่งการและผลักดันให้เป็นจริง
คงจะเป็นอย่างที่นายปราโมทย์ ไม้กลัด ตั้งข้อสังเกตว่า นายปลอดประสพไม่มีความรู้และไม่มีประสบการณ์ในเรื่องน้ำมาก่อน เพราะเคยแต่ทำประมง ทำป่าไม้
คนไม่รู้ในงานที่ต้องทำ หากมีเรื่องของอัตตาอยู่ด้วยก็ยากที่จะเข้าหา ขอความรู้ความร่วมมือจากผู้ที่รู้จริง ง่ายที่สุดคือจ้างคนนอก ไม่เสียหน้าแล้วยังอาจจะมีผลพลอยได้อื่นๆ ด้วย
คนไทยแท้ๆ ไม่มีสิทธิรับรู้เลยว่า นายปลอดประสพจะนำเงินภาษีอากร3.5 แสนล้านบาทไปสร้างเขื่อน ทำแก้มลิง ฟลัดเวยย์ตรงไหนบ้าง บ้านเรือนไร่นาของตนจะถูกกำหนดให้เป็นที่รับน้ำหรือเป็นทางระบายน้ำ หรือไม่ เพราะนายปลอดประสพปกปิดไม่ให้รู้ คนที่รู้คือทูตต่างชาติที่ได้รับเชิญจากนายปลอดประสบให้มารับฟังรายละเอียดทีโออาร์การจัดทำเสนอกรอบแนวคิด (Conceptual Plan) เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย และบริษัทต่างชาติที่มารับร่างทีโออาร์ไป
คนไทยแท้ๆ ที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน เป็นเจ้าของเงินที่นายปลอดประสพ เอาไปจ้างฝรั่ง นายปลอดประสพไม่ยอมให้รู้ แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงข้อมูลนี้
อย่างไรก็ตาม มีสื่อมวลชนบางสำนักทำหน้าที่ของสื่ออย่างแข็งขัน สามารถไปล้วงเอาข้อมูลมาได้ว่า แผนบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนของ กบอ. นั้นจะมีการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำในลุ่มแม่น้ำปิง ยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก ซึ่งรวมถึงเขื่อนแก่งเสือเต้นและเขื่อนแม่วงก์ที่ถูกชาวบ้านบางส่วนในพื้นที่และภาคประชาสังคมต่อต้านมาอย่างยาวนาน
นอกจากนั้น ยังจะมีการกันพื้นที่ 2 ล้านไร่เหนือจังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่รับน้ำ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นพื้นที่ไหน มีนายปลอดประสพรู้คนเดียว
ทั้งเรื่องการสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ การทำแก้มลิง ฟลัดเวย์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนมหาศาล รัฐธรรมนูณ พ.ศ.2550 ที่พรรคเพื่อไทยต้องการฉีกทิ้ง ได้คุ้มครองสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบในการรับรู้ ร่วมตัดสินใจ และปกป้องบรรเทาความเสียหาย
รัฐบาล โดย กบอ.ถามประชาชนหรือยัง เคยบอกให้ประชาชนที่จะได้รับผลกระทบรู้บ้างไหม หรือคิดตามประสาคนที่ชอบเอาปืนไล่ยิงจระเข้ว่า จะใช้อำนาจ ใช้เงินเข้าจัดการปัญหาได้
ที่บอกว่าแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนของ กบอ.จะทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะต้องดำเนินการสร้างเขื่อน ขีดแนวฟลัดเวย์ ทำพื้นที่รับน้ำตามแผน ประชาชนไม่ยอมแน่ จะต้องเกิดการประท้วงกันอย่างกว้างขวาง และมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองเพื่อขอความคุ้มครอง เพราะเห็นชัดๆ ว่า กบอ.คิดเองทำเองหมด ไม่คำนึงถึงสิทธิประชาชนที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550
ต่อให้ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ได้สำเร็จและตรารัฐธรรมนูญใหม่ที่ยกเลิกการคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐหรือเอกชน ก็อย่าคิดว่าจะเอาอยู่ เพราะแค่เรื่องประชาชน ไม่กี่ร้อยคน รวมตัวปิดถนน เรียกร้องเงินค่าชดเชยน้ำท่วมปีที่แล้ว รัฐบาลยังแก้ไม่ได้ ต้องซื้อเวลาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่การบริหารจัดการน้ำของ กบอ.ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนหลายสิบล้านคน ในพื้นที่ที่กว้างขวาง นึกดูแล้วกันว่า รับบาลจะทำอย่างไร หากมีการประท้วงเกิดขึ้น พร้อมๆกันหลายๆจุด