xs
xsm
sm
md
lg

ตุลาการมติเอกฉันท์แก้ รธน.เป็นอำนาจสภา ชี้เดินหน้าวาระ 3 ได้ แต่ ปธ.รัฐสภาต้องรับผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงศ์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ (แฟ้มภาพ)
ทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงคำวินิจฉัยแก้รัฐธรรมนูญ เผย มติ 7 ต่อ 1 ตุลาการมีอำนาจรับคำร้อง ให้เอกฉันท์แก้ รธน.เพิ่มเติมเป็นอำนาจของสภา ย้ำยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงล้มล้างการปกครอง ยันจะเดินหน้าวาระ 3 ต่อก็ได้ แต่ประธานรัฐสภาต้องรับผิดชอบ ระบุ ศาลมีอำนาจแค่ตัดสิน ม.68 แต่ไม่ล่วง ม.291 เหตุเป็นอำนาจของรัฐสภา ชี้ ถ้าพบมีล้มล้างก็ยื่นได้อีก ขณะที่ประชุมยกคำร้อง พธม.ขอชะลอคำตัดสิน, “เรืองไกร” ร้องฟัน ปชป.

วันนี้ (13 ก.ค.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลังการอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทีมโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ นำโดย นายพิมิล ธรรมพิทักษ์พงษ์ นายสมฤทธิ์ ไชยวงค์ และ นายกมล โสตถิโภคา ก็ได้ร่วมแถลงข่าวถึงการมีคำวินิจฉัยยกคำร้องคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ว่า ในประเด็นศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ เป็นมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 ที่เห็นว่าศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้ ส่วนในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่เป็นการแก้ไขเพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ รวมถึงหากพบว่ามีการกระทำเป็นเหตุให้ต้องวินิจฉัยให้ยุบพรรค หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 8 เสียง ว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของรัฐสภา และยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จึงไม่มีเหตุต้องให้วินิจฉัยเรื่องยุบพรรค และมีมติให้ยกคำร้อง

เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จะมีผลอย่างไรต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ นายสมฤทธิ์ กล่าวว่า ในประเด็นหลักที่มีการร้องว่ามีการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติยกคำร้อง เพราะเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา เพียงแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีข้อเสนอแนะว่า เมื่อรัฐธรรมนูญปี 50 มาจากการสถาปนาของประชาชน ดังนั้น การจะแก้ไขจึงสมควรให้ประชาชนลงประชามติว่า สมควรจะให้มีการแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ หรือหากจะมีการแก้ไขเป็นรายมาตรา ก็เป็นความเหมาะสมที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 แต่ทั้งนี้ รัฐสภาการจะดำเนินการอย่างไรก็ถือเป็นดุลยพินิจ จะเดินหน้าลงมติในวาระ 3 ก็ทำได้ แต่ประธานรัฐสภาและรัฐสภา จะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะดำเนินการต่อไป

เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร แต่การที่มีข้อเสนอแนะในคดีนี้เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงเสือกระดาษหรือไม่ นายพิมล กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันกับทุกองค์กรอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงคือ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยตามมาตรา 68 เท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพราะมาตรา 291 เป็นอำนาจของรัฐสภา ดังนั้น เมื่อมีคำวินิจฉัยศาลก็ต้องกำจัดอำนาจของตัวเองให้อยู่ในกรอบที่กฎหมายให้อำนาจ เราจะไปก้าวล่วงอำนาจขององค์กรอื่นไม่ได้ ศาลมีอำนาจแค่ไหนก็ต้องทำแค่นั้น และถ้าดูจากเนื้อหาคำวินิจฉัย จะพบว่า ศาลมีคำวินิจฉัยไว้ว่าหากต่อไปมีผู้ทราบการกระทำที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองฯ ก็สามารถยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาได้ทุกเวลาและทุกขั้นตอน แต่ต้องมีข้อเท็จจริงที่ชัดเจน

นอกจากนี้ นายพิมล กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังได้มีมติยกคำร้องกรณี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ร้องขอชะลอการพิจารณาคดีนี้ออกไปก่อน โดยศาลเห็นว่า ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะให้ชะลอ รวมทั้งยังมีมติไม่รับคำร้องกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 กรณีพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และกรณีการดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ของ นายชัช ชลวร และการดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญของ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่การกระทำเป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามมาตรา 68

มีรายงานว่า สำหรับมติของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเป็นเอกฉันท์ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 นั้น ก็เท่ากับว่า องค์คณะตุลาการที่พิจารณาคดีนี้ทั้ง 8 คน ซึ่งรวมถึง นายชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยเป็นเสียงข้างน้อยเมื่อชั้นรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาได้ร่วมลงมติด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ทั้งนี้ ในเรื่องการมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาตามรัฐธรรมนูญ 68 ที่ศาลมีมติด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 นั้น นายชัช ยังคงยืนยันความเห็นเดิมที่ว่าศาลไม่อาจรับร้องนี้โดยตรงจากผู้ทราบการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองได้ แต่จะรับคำร้องได้ต้องผ่านการพิจารณาของอัยการสูงสุดเสียก่อน

วันเดียวกัน ศาลปกครองกลางก็มีคำสั่งไม่รับคำร้องกรณี นายเรืองไกร ร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ นายชัช เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ นายวสันต์ เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และให้มีคำสั่งเรียกคืนเงินเดือน ผลประโยชน์อื่นที่บุคคลทั้ง 2 ได้รับนับแต่วันที่ 10 ส.ค.54 เนื่องจากเห็นว่า การดำเนินการของคระตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรค 4 ประกอบมาตรา 204 วรรคสาม ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การใช้อำนาจทางปกครอง หรือการดำเนินกิจการทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
กำลังโหลดความคิดเห็น