“ทนายสุวัตร” คาดศาลวินิจฉัยให้ยุติแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ยุบพรรค เนื่องจากขาดหลักฐานที่เป็นรายงานการประชุมของพรรค แจงพธม.ยื่นเลื่อนวันพิพากษา แม้รู้ว่าศาลอาจไม่รับ แต่เพื่อให้เห็นว่ามีเนื้อหาที่ต่างจากสำนวนอื่น ด้าน “วรินทร์” มั่นใจผลตัดสินจะทำให้คนไทย 60% หยุดทะเลาะ เกิดความปรองดอง สัมพันธ์กับดวงเมือง ที่ระบุว่าถึงเวลากระบวนการยุติธรรมเดินหน้า คนชั่วต้องรับกรรม
วันที่ 12 ก.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายวรินทร์ เทียมจรัส อดีต ส.ว.สรรหา ร่วมในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV โดยนายสุวัตรกล่าวว่า คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ อาจแค่สั่งให้ยุติการกระทำ เพราะผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา และเพื่อไทย ได้มีมติพรรคให้แก้รัฐธรรมนูญ แม้คนในพรรคลงชื่อเกือบหมด แต่ไม่มีหลักฐานที่เป็นรายงานการประชุม นายภราดร ปริศนานันทกุล บอกว่ารวบรวม ส.ส.เอง ไม่มีมติพรรค ซึ่งถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าพรรคมีส่วนร่วมในการกระทำนั้นเพียงใด ก็ไม่อาจเอาผิดได้ แต่ถ้าไม่ยุบพรรค แค่ให้ยุติการกระทำ แล้วพวกนี้ไปทำใหม่พวกเราก็ร้องใหม่ได้ และอย่าลืมมีคำร้องของพันธมิตรฯอยู่อีก ซึ่งมีความต่างจาก 5 สำนวน ถ้า ป.ป.ช.-กกต.รับไปตรวจสอบก็มีสิทธิ์โดนยุบพรรคได้เช่นกัน ถือเป็นดาบที่สอง
ซึ่งถึงวันนี้ ประเด็นที่ศาลพิจารณาในข้อ 3 (การแก้ไขมาตรา 291 มีปัญหาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่) ตนก็ยังมั่นใจถึง 80 เปอร์เซ็นต์ว่าเข้าข่าย ซึ่งจะทำให้ประเด็นที่สี่ตามมา คือให้หยุดการกระทำ แต่อาจไม่ยุบพรรค แต่ก็ยังสามารถเอาไปต่อยอดกับสำนวนที่พันธมิตรฯ ร้องเรียนได้
ส่วนกรณีที่วันนี้ พล.ต.จำลองไปยื่นให้ศาลสั่งชะลอคำวินิจฉัยวันศุกร์ที่ 13 ก็เพราะว่าปกติศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ามีคนยื่นประเด็นเดียวกันกับที่เคยวินิจฉัยแล้วจะไม่รับ จึงไปยื่น แม้รู้อยู่แล้วว่าเราไม่ได้เป็นคู่ความ ศาลอาจไม่รับ แต่อยากยื่นไปให้ท่านเห็นว่ามีเนื้อหาที่ต่างกัน และยังไม่ได้รับการพิจารณา เพราะถ้ายก 5 คำร้องของพันธมิตรฯ ก็จะโดนปิดไปด้วย
นายวรินทร์กล่าวว่า การกดดันข่มขู่ วิ่งเต้นสินบนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยประสบการณ์ของตนแล้ว มั่นใจว่าผู้พิพากษาระดับนี้ไม่หวั่นไหวแน่นอน ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ถึงวันนี้
ตนเชื่อว่าความสงบ วิถีชีวิตที่ดีของประเทศไทยจะกลับมา ถ้ากระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ ผลออกมาอย่างไรก็ไปว่าตรงนั้น ความสามัคคี สมานฉันท์ ปรองดอง เกิดขึ้นแน่นอน ผลตัดสินไม่ว่าออกหัวหรือก้อย เชื่อว่าคนในสังคมไทย 60 เปอร์เซ็นต์ หยุดทันที เหลือ 40 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ว่าจะตัดสินอย่างไรก็ทะเลาะกันอยู่ดี ซึ่งก็ต้องปล่อยไป ส่วนคนที่ต้องรับโทษก็ต้องทำใจ เพราะทำกับบ้านเมืองมาเยอะ ถึงเวลาต้องรับผลกรรมที่ทำไว้ ซึ่งดวงเมืองก็เป็นเช่นนั้น ว่ากระบวนการยุติธรรมจะเดินหน้า อาจถึงขั้นเสียงเป็นเอกฉันท์ และเป็นเวลาที่กระบวนการยุติธรรมต้องปรับตัวครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ปรับจะมีคนอื่นปรับให้เรียบร้อย