“นายกฯปู” งดจ้อ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน” ส่ง “เฉลิม” นำทีมแจงปราบยาเสพติด ชู 6 มาตรการแก้ไข ประสานจีน-พม่าผนึกกำลังปราบ เข้มเจ้าหน้าที่มีเอี่ยวเล่นงานเฉียบ พร้อมขอความร่วมมือชุมชน โรงเรียนทำให้เป็นพื้นที่สีขาว ด้าน “กิตติรัตน์” รายงานแนวทางสู้วิกฤตยุโรป โวรับมือได้ เร่งกระจายตลาดส่งออก ยึดเป้า 15 % จีดีพี 7 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” เช้าวันนี้ (30 มิ.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี งดจัดรายการ โดยมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาฯ ปปส.) ชี้แจงถึงมาตรการแก้ปัญหายาเสพติด
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่ามีการวางนโยบายปราบปรามยาเสพติด 6 มาตรการ ซึ่งเป็นการประสานการทำงานระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา สามารถจับกุมยาเสพติดได้จำนวนมาก ตั้งเป้าบำบัดผู้เสพ 3 แสนคน และวางมาตรการไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด พร้อมประสานงานกับจีน และพม่า เพื่อร่วมสกัดกั้นยาเสพติดที่จะเข้ามาในประเทศ เนื่องจากแหล่งผลิตยาเสพติดอยู่บริเวณชายแดนไทย เน้นการสกัดในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ และจะมีการแก้ไขกฎหมายให้มีโทษรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้จะมีการออกมาตรการหากใครสมัครใจมาบำบัดจะไม่ดำเนินคดี ส่วน เรือนจำจะมีทำการคัดแยกผู้ต้องขังออกเป็นกลุ่ม และวางมาตรการการเยี่ยม และตรวจค้นโทรศัพท์มือถืออย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากพบเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จะดำเนินการสั่งย้ายทันที
ส่วนในการป้องปรามยาเสพติด ทางรัฐบาล จะเดินหน้าขอความร่วมมือกับชุมชนและโรงเรียน เพื่อทำให้เป็นพื้นที่สีขาว โดยจะบูรณาการร่วมกับ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้รู้จักปฏิเสธยาเสพติดอย่างแท้จริง
ด้าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหายาเสพติดว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิท มีบัญชามาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วให้ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และป.ป.ส.ได้ประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลและดำเนินการสืบสวนจับกุมมาตลอดสั่งกองบัญชาการต่างๆให้จับกุมผู้ค้ารายย่อยที่อยู่ตามสถานีต่างๆให้มากที่สุด โดยรายย่อยจะต้องถูกดำเนินการไปพร้อมๆกับรายใหญ่
โดยเส้นทางของผู้ค้ายาเสพติดได้เพิ่มมาตรการเรื่องด่านกองบังคับการสกัดกั้นยาเสพติด มีหน้าที่ช่วยด่านใหญ่ๆในการช่วยตรวจหารถต้องสงสัยตามจุดต่างๆที่หลบด่านใหญ่มาเข้าหมู่บ้านหรือเส้นทางย่อยที่ไม่คิดว่าจะต้องผ่าน ก็บูรณาการร่วมกับกล้องซีซีทีวีที่ติดตั้งไว้เพื่อจับความเคลื่อนไหวของรถ ก็จะควานหารถที่ต้องสงสัย เราได้ตั้งกองบังคับการสกัดกั้น ใช้รถ 100 ค้นวิ่งสกัดไปตามเส้นทางที่เราคิดว่าเขาจะหลบจากด่านใหญ่ ขณะนี้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยจะเน้น 8 จังหวัดภาคเหนือ เช่น ที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย เพราะเป็นเส้นทางลำเลียงถึง 80%
ส่วนพล.ต.อ.อดุลย์ ระบุ การปราบปรามในชุมชนถือเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยขจัดยาเสพติดให้หมดไป โดยได้ประสานกับจังหวัดและหน่วยงานต่างๆเพื่อให้ชุมชนเข้มแข็งก้าวไปสู่ชุมชน สีขาว
สำหรับในช่วงที่ 2 ของรายการ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้ชี้แจงถึงมาตรการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป โดยยืนยันย่าปัญหาในยุโรปนั้น รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมมาตลอด และการมีพื้นฐานแข็งแกร่ง หนี้สาธารณะอยู่ระดับต่ำ ถือเป็นข่าวดีในการรับมือ ปัญหาที่จะเกิดขึ้น เรื่องการส่งออกของไทยไปยุโรป วันนี้อยู่ในอัตรา 9 % ของการส่งออกรวม แต่ถึงกระนั้นคู่ค้าสำคัญของไทยอีกหลายประเทศ ก็มีการค้าขายกับยุโรปจำนวนมาก แม้จะส่งผลกระทบทางอ้อม แต่เชื่อว่าไม่กระทบรุนแรงมากนัก
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่าแม้เชื่อว่าวิกฤติยุโรปจะไม่กระทบรุนแรงแต่ต้องเตรียมไว้ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายเงินทุน แต่ถึงวันนี้เรามีความพร้อมสูงมาก การกระจายตัวส่งออกสินค้า อุตสาหกรรม ภาคเกษตร ยังทำได้ดี และพยายามเร่งขยายการค้ากับประเทศอื่น หากมีปัญหาระยะสั้น ก็ได้เตรียมมาแล้ว หากหุ้นปรับตัวแรง ก็ได้หารือกับสถาบันต่างๆ รับมืออยู่แล้ว
รมว.คลัง ยังมั่นใจว่าเหตุการณ์ในยุโรปจะไม่กระทบร้ายแรง แต่ทั้งนี้รัฐบาลได้เตรียมตัว หารือกับทีมเศรษฐกิจ ลงลึกถึงระดับการทำงานจุลภาค ก็พบว่าการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ได้ดีขึ้น ส่วนแนวทางแก้ไขในระดับมหภาค ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องแก้ไขในระยะยาว เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทย พึ่งพาการบริโภคในประเทศน้อยเกินไป
“การส่งออก ส่วนตัวยังตั้งเป้าโตไว้ที่15% ส่วนจีดีพี คาดว่าจะโตได้ 7% แต่หน่วยงานส่วนราชการ ก็มีเป้าของตัวเอง เช่น สศค.เชื่อว่าจีดีพีจะโต 5.2-5.7% แต่เป้าหมายตัวเองเชื่อว่าจะโตได้ 7%”