xs
xsm
sm
md
lg

ยุคมืด “สภาความมั่นคงฯ” การเมืองสยายปีกครอบงำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ท.ภราดร  พัฒนถาบุตร
รายงานการเมือง

ข่าวเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีคนให้ความสนใจแต่เป็นประเด็นที่อาจส่งผลสะเทือนต่อความมั่นคงของประเทศอย่างยิ่ง คือ กรณีที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 55 อนุมัติรับโอน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ให้มาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และเด้งนายสมเกียรติ บุญชู รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี

ความสำคัญของข่าวนี้อยู่ที่ สภาความมั่นคงแห่งชาติได้ก้าวเข้าสู่ยุคมืดที่การเมืองสยายปีกเข้าครอบงำอย่างเต็มรูปแบบ

เริ่มตั้งแต่การย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขา สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ซึ่งได้ประโยชน์สองเด้ง คือเคลียร์ตำแหน่งว่างให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี เพื่อยกเก้าอี้ ผบ.ตร.ให้กับพี่อดีตเมีย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์

ครั้งนี้ได้ตำแหน่งประเคนให้พี่อดีตเมีย แถมยังได้คนที่ตัวเองสั่งได้ไปเป็นเลขา สมช.ด้วย

จังหวะก้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่รุกคืบเข้าแทรกแซงงานด้านความมั่นคงมากขึ้น ด้วยการจัดวางข้าเก่าเต่าเลี้ยงไปมีอำนาจในหน่วยงานความมั่นคง เพื่อเป็นมือเป็นไม้รักษาความมั่นคงให้รัฐบาลไม่ใช่รักษาความมั่นคงของประเทศนั้น ถือเป็นภาวะที่อันตรายยิ่งสำหรับบ้านเมือง

ย้อนดูอดีตของ พล.ท.ภราดร แล้วจะเข้าใจว่าทำไมเขาจึงได้ตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.กลับมาครอบครอง พล.ท.ภราดรเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนถูกถูกปลดในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นสายตรงนายใหญ่

นอกจากนี้ พล.ท.ภราดรยังเป็นเครือญาติของนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีทบวงมหาวิทยาลัย ที่ถือเป็นครูการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย

การย้ายนายสมเกียรติ บุญชู ออกจากตำแหน่งรองเลขาฯ สมช. จึงถือเป็นการขจัดก้างขวางคอ เนื่องจากที่ผ่านมา พล.ท.ภราดรมีความพยายามที่จะวิ่งเต้นเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นรองเลขา สมช.อีกครั้ง ถึงขนาด นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตเลขาฯ สมช.อดรนทนไม่ได้เคยออกมาฟ้องต่อสาธารณชนเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาว่า

รัฐบาลมีความพยายามที่จะเพิ่มอัตราข้าราชการในตำแหน่งรองเลขาฯ สมช.เพื่อรองรับ พล.ท.ภราดร กลับเข้ามาทำงานด้านความมั่นคง

คำตอบสุดท้ายสำหรับรัฐบาลลุแก่อำนาจ คือ เมื่อเพิ่มอัตราไม่ได้ก็เขี่ยคนเก่าออกจากวงโคจรเสียเลย

ที่น่าสนใจคือ บทบาทของ สมช.และ กอ.รมน.ถูกคีย์แมนที่เป็นฝ่ายวางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยตั้งคำถามและเคลือบแคลงสงสัยว่า เป็นหน่วยงานพิฆาตรัฐบาล

โดยมีการวิเคราะห์ถึงประเด็นที่มีการเคลื่อนไหวจากสหายเก่าในหลายพื้นที่ ชุมนุมสนับสนุนการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ในภาวะที่ถูกคนเสื้อแดงกดดันอย่างหนักนั้นเป็นฝีมือการประสานของ สมช. และ กอ.รมน.ที่ทำงานมวลชนกับกลุ่มสหายเก่ามาอย่างต่อเนื่อง

ในภาวะที่รัฐบาลคุมกลไกรัฐได้เกือบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ข้าราชการพลเรือนไม่ต้องพูดถึง หมอบราบคาบแก้วอยู่ใต้อุ้งตีน ตำรวจก็สั่งได้แบบซ้ายหันขวาหัน

ส่วนกองทัพก็อยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก เป็นอัมพาตขับเคลื่อนไม่ไหว เหลือหน่วยงานที่ดุลย์อำนาจด้านความมั่นคงอยู่ คือ สมช. และ กอ.รมน.ที่รัฐบาลยังแทรกแซงไม่ได้

จึงไม่น่าแปลกใจที่ สมช.กลายเป็นเป้าหมายที่การเมืองต้องการเข้าไปชี้นำ ซึ่งถือเป็นภัยเงียบที่คุกคามความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างยิ่ง

มีข้อมูลน่าสนใจได้มีการนำเสนอถึงความเห็นของ 2 หน่วยงานรักชาติที่กล้าทักท้วงโครงการนาซาใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำรวจก้อนเมฆอย่างตรงไปตรงมา สมกับเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม

นายพรชาต บุนนาค ผอ.สำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรียกร้องกลางที่ประชุมหน่วยงานไทยหลังการฟังบรรยายสรุปจาก Dr.Hal Maring NASA ว่า “ขอเรียนเสนอให้ทุกส่วนราชการให้ข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา มุ่งประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี”

พร้อมกับฟันธงว่า คำอธิบายของ NASA ที่ตอบว่าการบินสำรวจส่วนใหญ่ดำเนินการในน่านน้ำสากลนั้น ยังไม่หมดข้อสงสัย เนื่องจากพื้นที่น้ำในภูมิภาคนี้ส่วนมากเป็นทะเลอาณาเขต และมีความอ่อนไหวที่หลายประเทศยังกังวลเรื่องของบูรณภาพเหนือดินแดน

สอดรับกับ พ.อ.พศพร หอมเจริญ รอง ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ที่กล้าทักท้วงเพื่อบ้่านเมืองสมกับเป็นชายชาติทหารอย่างตรงไปตรงมาว่า “เห็นด้วยกับความเห็น สมช.เรื่องความเข้าใจของประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจีนและอินเดีย นอกจากนี้ NASA ก็ยังไม่ได้ให้ความมั่นใจว่าการสำรวจดังกล่าวจะไม่เกี่ยวกับภารกิจทางทหาร อาจส่งผลทางทหารและต่อภูมิภาคได้ จึงต้องให้ฝ่ายสหรัฐให้ความมั่นใจว่าจะไม่สร้างความหวาดระแวง และจะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับนักวิทยาศาสตร์นานาชาติอย่างเดียวคงไม่พอ นอกจากนี้ยังห่วงว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ NASA อาจไม่เปิดเผย แต่เปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้แทน”

การโต้แย้งด้วยเหตุและผลด้านความมั่นคงของชาติ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่กล้าเดินหน้าโครงการนี้ เพราะอ้างมาโดยตลอดว่าไม่เกี่ยวกับความมั่นคง แต่ฝ่ายที่ท้วงติงกลับกลายเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงซึ่งเป็นกลไกสำคัญของรัฐ

หากเดินหน้าไปก็มีแต่ลงเหว เพราะบันทึกเหล่านี้ย่อมเป็นหลักฐานชิ้นดีว่า เรื่องที่รัฐบาลจะทำนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (2) เพราะหากรัฐบาลมั่นใจจริงก็คงเดินหน้าลุยไปแล้ว

แต่ที่ติดดิสเบรกก่อนใส่เกียร์ถอยก็เป็นเพราะกลัวคุก ไม่ใช่ทำเพื่อชาติเหมือนที่ ยิ่งลักษณ์จีบปาจีบคออ่านให้คนไทยฟัง

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าบทบาทของหน่วยงานราชการด้านความมั่่นคงที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรง ไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันทางการเมือง มีส่วนสำคัญยิ่งในการปกป้องบ้านเมืองให้พ้นจากภัยคุกคามทั้งมวลได้อย่างแข็งแกร่ง

เมื่อ สมช.กำลังถูกครอบงำโดยการเมือง อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งนี้ถูกบังคับให้ต้องเงียบเพื่อความมั่นคงของรัฐบาล แทนที่จะตะโกนให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนเพื่อความมั่นคงของชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น