ปชป.แฉนาซาอ้ำอึ้งไม่แจง “เชฟรอน” เอี่ยวผลประโยชน์ใช้อู่ตะเภา

“ถาวร” แฉ นาซาอ้ำอึ้งไม่แจง “เชฟรอน” เอี่ยวผลประโยชน์ใช้สนามบินอู่ตะเภา เชื่อมีเงื่อนงำผลประโยชน์ทับซ้อน ระบุ สมช.กังวลประเทศบ้านเมืองอาจมีความหวาดระแวง ยันเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ ม.190 เตือนหากไม่ผ่านสภาเจอถอดถอนพร้อมยื่นซักฟอก

วันนี้ (18 มิ.ย.) นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำกรณีที่องค์กรนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภาสำรวจการก่อตัวของเมฆ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาก่อนที่จะมีการลงนามกับสหรัฐอเมริกา โดยยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวจะกระทบด้านความมั่นคงของประเทศเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หาก คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติในเรื่องนี้โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาจะถือว่าความผิดสำเร็จแล้วในการละเมิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะนำไปสู่การยื่นถอดถอนและการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย

ทั้งนี้ ตามเอกสารกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ 5 มิ.ย. 2555 ให้มีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ให้รัฐบาลลงนามให้องค์กรนาซาใช้สนามบินอู่ตะเภา และมีข้อความที่น่ากังวลว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคง โดยระหว่างการประชุมความมั่นคงที่ผ่านมา ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ขอให้หน่วยราชการทุกภาคส่วนให้ข้อคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา มุ่งประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก แต่การตัดสินใจอยู่ที่ ครม. ซึ่งแปลว่าฝ่ายราชการเกรงใจรัฐบาล และไม่กล้าซักถามหรืออย่างไร แต่ทาง สมช.ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้มีความละเอียดอ่อน 6 ข้อที่น่ากังวล เพราะแม้นาซาจะระบุว่าบินผ่านน่านน้ำสากลและประเทศที่ให้ความยินยอมเท่านั้น แต่มีข้อห่วงกังวลเรื่องประเทศเพื่อนบ้านอาจมีความหวาดระแวง การนำไปใช้ประโยชน์ด้านยุทธศาสตร์ทหาร การบินผ่านพื้นที่ชายแดนไทยและบินจอดฉุกเฉินโดยไม่ได้รับอนุญาต การบินผ่านเขตหวงห้ามของไทย การซ่อนเร้นอุปกรณ์นอกเหนือจากอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์บนเครื่องบินสำรวจ และการกระตุ้นให้ฝ่ายต่อต้านสหรัฐฯ ก่อเหตุร้ายในไทย ทั้ง 6 ข้อจะนำไปสู่การทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หากไม่มีการให้รัฐสภาพิจารณา

นายถาวรกล่าวว่า นอกจากนี้ในการประชุมฝ่ายความมั่นคงมีการสอบถามตัวแทนของนาซา โดย สมช.สอบถามว่ามีข้อสังเกตเกี่ยวกับพลังงานในภูมิภาคนี้ ซึ่งการสำรวจอากาศต้องใช้สหวิทยาการ และมีชื่อบริษัท เชฟรอน ได้สัมปทานรวมอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากนาซาแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด