“ปานเทพ” เผยอเมริกามีโครงการ H.A.A.R.P. เป็นการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังผิวโลก ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่างๆ ในพื้นที่ตามที่ต้องการได้ เพื่อใช้เป็นอาวุธกำจัดศัตรูแบบใหม่ หวั่นใช้อู่ตะเภาเป็นฐานทำลายประเทศใกล้เคียง ซึ่งไทยจะไม่มีวันสงบสุขเลย ด้าน “ทูตสุรพงษ์” ชี้ความจริง “นาซา” ทำงานให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มาตลอด อย่าหลงเชื่อชื่ออำพราง
วันที่ 20 มิ.ย. นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV พูดคุยถึงประเด็นการให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา
นายสุรพงษ์กล่าวว่า อยากให้สังคมไทยได้พิจารณา พอได้ยินชื่อองค์กรนาซา คือองค์กรอวกาศ คนมักเข้าใจว่าวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงแล้วเป็นแค่ชื่ออำพราง องค์กรนี้ได้รับงบประมาณส่วนมากจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นอิสระ ทำงานให้กระทรวงกลาโหมมาตลอด
ส่วนที่เราวิตกว่าอู่ตะเภาจะถูกใช้เป็นฐานทัพไปสอดแนมประเทศอื่น อู่ตะเภานี้ถูกใช้มาตลอดอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนามจนปัจจุบัน เครื่องบินที่ไปทิ้งระเบิดตะวันออกกลางก็แวะมาเติมน้ำมันที่นี่ โดยรัฐบาลไทยยินยอม อย่าเข้าใจผิดว่ามาใช้ฐานทัพ เพราะใช้อยู่แล้ว
อีกทั้งหลังๆ มานี้อเมริกาเองก็ไม่ต้องการใช้ฐานทัพเพราะมีเยอะอยู่แล้ว แต่เขาต้องการพื้นที่ ขอแค่ให้เครื่องบินลงได้ จอดเติมน้ำมัน ขนส่งเสบียง โยกย้ายยุทธปัจจัย แต่ในเรื่องความตกลงต้องไม่ลืมว่าการตกลงให้ใช้ฐานทัพ โดยธรรมชาติของมันจะมีลักษณะไม่เท่ากัน คือการที่เขาจะให้ข่าวกรองกับเรา เราก็ต้องเสียค่าเช่า ค่าดูแลรักษาฐานทัพนี้ด้วย เงินภาษีของเราต้องให้เขาด้วยหรือ ในเมื่อมาตั้งในแผ่นดินไทย อีกอันคือปฏิบัติการอันนี้ อาจเขียนไว้ชัดเจนว่า หน้าที่ของผู้มาใช้ฐานทัพนี้ต้องเคารพกฎหมายของประเทศผู้ให้ใช้ นั่นเป็นเพียงกระดาษแต่พฤตินัยจะรู้ได้อย่างไรว่าอเมริกาจะปฏิบัติตามเงื่อนไข แล้วข้อมูลข่าวกรองที่ว่าจะให้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะให้หมด
นายปานเทพกล่าวว่า ต้องระวังเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีน เพราะชัดเจนสหรัฐฯ ต้องการหยุดอิทธิพลจีน แล้วภูมิภาคนี้มีพลังงานเยอะ การมีฐานทัพในไทย เป็นการการันตีคุ้มครองสหรัฐฯ ในพื้นที่นี้ เพราะเมื่อไทยอยู่ในสถานะต้องพึ่งพิง ยิ่งขัดแย้งสหรัฐฯ มีความถนัดในการแบ่งแยกแล้วปกครอง เพราะผู้ที่แบ่งแยกต้องพึ่งพิงอเมริกามากเท่าไหร่ผลประโยชน์ก็จะกลับคืนสู่อเมริกามาก เวลานี้สหรัฐฯ อาจหนุนหลังรัฐบาลเพื่อให้อยู่ในอำนาจ แล้วผลตอบแทนคือการคุ้มครองแหล่งพลังงาน และบังเอิญกรกฎาคมนี้จะมีการเปิดแปลงสัมปทานล็อตใหญ่ การเข้ามามันเป็นการสร้างหลักประกันว่ารัฐบาลสมประโยชน์อย่างไรในการมีอเมริกาหนุนหลัง อเมริกาก็จะมีประโยชน์จากการสัมปทานที่เกิดขึ้น
นายปานเทพกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนได้เขียนบทความเกี่ยวกับโครงการ H.A.A.R.P. (High Frequency Active Aurora Research Program) หรือโครงการวิจัยพลังงานลำแสงออโรราจากความถี่สูง ซึ่งเป็นการทำงานวิจัยร่วมกันระหว่าง ส่วนห้องทดลองวิจัยของกองทัพอากาศ และกองทัพเรือของสหรัฐอเมริการ่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งอะแลสกา และสำนักงานโครงการวิจัยความก้าวหน้าของกองทัพของสหรัฐอเมริกา เป็นการสร้างและควบคุมภูมิอากาศโดยการยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง และความแรงกว่าพันล้านวัตต์ไปที่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แล้วสะท้อนกลับมายังพื้นผิวโลกไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทั้งบนบกและในทะเล เพื่อส่งพลังงานนั้นลงไปสู่ชั้นหินใต้ดินเพื่อก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนหรือเกิดแผ่นดินไหว
นายปานเทพได้เปิดสารคดี ของ History Channel เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการอธิบายว่า โครงการ H.A.A.R.P.นี้ สามารถกำหนดภัยพิบัติธรรมชาติได้ เป็นอาวุธใหม่ ยิงด้วยกำลังส่งสูงมาก เป็นพันล้านวัตต์ ที่น่าสนใจคือมีการยกระดับชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ขึ้นมาด้วย ทำให้เกิดความแปรปรวนของบรรยากาศ เปลี่ยนทิศทางกระแสลม และกระแสน้ำ หรือแม้กระทั่งเฮอริเคน ไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว แล้วการทดลองโครงการนี้ไม่ได้มีที่อลาสก้าที่เดียว แต่มีที่รัสเซีย และนอร์เวย์ด้วย
ทั้งนี้ มีหลักฐานหลายชิ้นยืนยันได้ เช่น
- เอกสารกองทัพอากาศสหรัฐฯ ปี 2005 ประกาศใช้ในปี 2539 โดยกองทัพอากาศได้ระบุว่าเป้าหมายของกองทัพอากาศอเมริกา ในปี 2025 (อีก 12 ปีข้างหน้า) การเปลี่ยนดินฟ้าอากาศจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงทั้งในและระหว่างประเทศ และสามารถทำได้แบบเอกภาคี มันเป็นไปได้ทั้งเชิงรุกและรับ หรือกระทั่งการข่มขู่ศัตรู และความสามารถในการทำฝน หมอก พายุ หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก และสร้างดินฟ้าอากาศต่างๆ นี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีแบบบูรณาการซึ่งสร้างเสริมศักยภาพให้สหรัฐฯ หรือลดทอนศักยภาพของศัตรูลง
- สำนักข่าวรอยเตอร์ในปี 2539 รายงานคำพูดของนายวิลเลียม โคเฮน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอเมริกา กล่าวถึงการก่อการร้ายตอนหนึ่งมีใจความว่า “การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมี และเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ในชั้นโอโซน หรือกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดได้” อเมริกาพูดเองเลย แล้วอเมริกามักพูดในสิ่งที่ตัวเองมีเสมอ
- ที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ เมื่อปี 2540 ได้มีการลงนามในอนุสัญญาการห้ามใช้เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน นิยามของคำว่าเทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ คือ เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบโครงสร้างของโลก รวมถึงชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ
- ปี 2544 วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอ ชื่อนายเดนิส คุชนิส ได้เสนอร่างกฎหมาย ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธในอวกาศ ความตอนหนึ่งของร่างนี้เขียนว่า “อาวุธทางภูมิอากาศ หรืออาวุธทางรอยเลื่อนของชั้นแผ่นดิน” คิดดูการบอกห้ามใช้อาวุธในอวกาศในพื้นที่รัฐของตัวเองจนถึงขั้นต้องให้มีการตรากฎหมาย มันหมายความว่าอย่างไร ถ้าไม่มีเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น
- ปี 2546 สมาชิกกรรมาธิการ 4 คณะของสภาสูงสุดที่รัสเซียหรือสภาดูมา และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 คน ได้ร่วมกันลงรายชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์การทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง สื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติ ห้ามสหรัฐฯทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้ ในรายงานปรากฎข้อความว่า “ภายใต้โครงการ H.A.A.R.P.สหรัฐฯ กำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ที่อาจส่งผลต่ออิทธิพลชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ หรือคลื่นความถี่สูง” นอกจากนี้ ระบุอีกว่า สหรัฐฯสร้าง H.A.A.R.P. ใน 3 แห่ง คือ อะแลสกา กรีนแลนด์ นอร์เวย์ และบังเอิญที่รัสเซียก็มี
- ปี 2548 ที่ยุโรปมีการประชุม วาระหนึ่งในนั้นให้พิจารณาโครงการ H.A.A.R.P. เพราะไปทำลายสิ่งแวดล้อมและเกิดภัยพิบัติ
นายปานเทพกล่าวเสริมว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ตนพูดเอง แต่ทั่วโลกกำลังหวาดวิตก ในการใช้อาวุธให้เกิดภัยพิบัติ แล้วเกิดความเสียหายที่ไหนอเมริกาก็จะเข้าไปเป็นผู้ถูกพึ่งพิง เพื่อหวังสูบทรัพยาการ และครอบงำรัฐบาลในประเทศต่างๆ กำลังจะบอกว่าเขามาขออะไร ขอตั้งศูนย์ภัยพิบัติ แค่ชื่อก็น่าวิตกแล้ว แถมเป็นการปฏิบัติในทางทหาร ซึ่งเราเข้าไปตรวจสอบไม่ได้ เชื่อว่ารัฐบาลทั่วโลกจะต้องเฝ้ามองว่าจะเป็นอันตรายกับประเทศเขาหรือไม่ แล้วถ้าเป็น ไทยจะไม่สงบสุขเลย จากทั้งประเทศเพื่อนบ้าน จากจีน หรือตามตะเข็บชายแดน
ทั้งนี้ นายปานเทพยังได้แสดงคลิปวิดีโอ เพื่อยกตัวอย่างภัยพิบัติที่เกิดขึ้นว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องจากโครงการนี้ โดยเมื่อปี 2551 ที่เสฉวน เกิดฟ้าเปลี่ยนสีก่อนเหตุการณ์แผ่นดินไหว นั่นก็เพราะเวลามีคลื่นความถี่ถูกส่งไปยังชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ จะเกิดความร้อนสูงจนฟ้าเปลี่ยนสีได้
ปี 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เฮติ โดยฮูโก ชาเบซ ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา เพิ่งออกมาประกาศต่อชาวโลกว่ามันเป็นกระบวนการทดลองอาวุธเพื่อเปลี่ยนภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงที่เฮติ อเมริกากำลังเล่นกับพระเจ้า
ที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง ก็มีคนไปสำรวจพบสนามแม่เหล็กต่ำจริงๆ เกิดก่อนที่จะมีสึนามิ และพบว่าคลื่นความถี่มีการส่งมาแบบผิดปกติ
ความคิดนี้อาจใหม่สำหรับไทย แต่เราต้องตระหนักว่าเป็นการทำให้ทั่วโลกกังวล จึงไม่แปลกใจกองทัพจีนต้องมาคุยกับกองทัพไทย แล้วใครจะเป็นฐานให้เรื่องแบบนี้ ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในฐานะที่ปลอดภัย
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันโลกตะวันออกมีหลายประเทศผงาดขึ้นมา เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บวกกับภาวะถดถอยในโลกตะวันตก สหรัฐฯจึงกังวลมากว่าตัวเองจะไม่มีอิทธิพลต่อโลกแล้ว จีนเป็นมหาอำนาจเดียวที่ท้าทายสหรัฐฯ โดยตรง เขาก็มองว่าไทยเป็นเวทีของการแข่งขันช่วงชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่วนเหตุการณ์ที่นายปานเทพพูดเรื่องโครงการ H.A.A.R.P. มันต้องดูบริบทว่าทำไมต้องเป็นช่วงนี้ แล้วอู่ตะเภาเองก็ใช้อยู่แล้ว นักการเมืองไทยต้องถามตัวเองว่าเราได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าอันนี้มันจริง มันจะเป็นอาวุธในการจัดการประเทศที่เป็นศัตรู อันตรายมากๆ เป็นการทำลายมนุษยชาติอย่างนิ่มนวล เพราะเกิดความตายจากภัยพิบัติไม่ใช่ฝีมือมนุษย์เหมือนสงคราม เป็นมหาอำนาจที่กำหนดว่าคุณตายเมื่อไหร่ ตายอย่างไร ตายแบบไหน อาจคิดว่าเป็นแค่จินตนาการ แต่ตนคิดว่ามันมาถึงจุดที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ มันน่ากลัวมาก