ผ่าประเด็นร้อน
การให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดผ่านสื่อญี่ปุ่นถือว่าเป็นการ “เปลือยตัวตน” ออกมาให้เห็นอีกรอบ ซึ่งที่จริงใครที่ติดตามร่องรอยของคนๆนี้ก็ย่อมรู้จัก “สันดาน” ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหากใครยังไม่รู้เท่าทันก็คงได้ตั้งสติมานั่งคิดกันบ้าง เพราะคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเขาได้ระบุชัดเจนว่าต้องรอให้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ หรือ “กฎหมายล้างผิด” ผ่านสภาเสียก่อน ถึงจะกลับไทย รวมทั้งคิดไปไกลถึงขนาดที่ว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
ความหมายก็ชัดเจนอยู่ในคำพูดแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร คาดหวังกับการผลักดันกฎหมายฉบับนี้มากแค่ไหน เพราะถ้าผ่านก็เท่ากับว่าเขาจะได้ทั้งอำนาจทางการเมืองเต็มตัว และที่สำคัญยังได้ทรัพย์สินที่ถูกริบไป 4.6 หมื่นล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยกลับคืนมา ลองคิดดูว่ามันมหาศาลและคุ้มค่าแค่ไหน
ที่สำคัญมันยังตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ (กฎหมายล้างผิด) นี่มัน “เดิมพัน” สูงแค่ไหน มีความสำคัญต่อตัวทักษิณอย่างไร
เมื่อสำคัญยิ่งยวดต่ออนาคตแบบนี้มันก็ย่อมเป็นไปได้สูงเช่นเดียวกันว่า เขาย่อม “ทำทุกทาง” เพื่อให้เดินหน้าไปสู่ความสำเร็จให้ได้
ขณะเดียวกัน เป็นจังหวะเดียวกับที่ระดับ “ขาใหญ่” ในพรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดเกมตอบโต้และรุกกลับเข้าใส่ “ฝ่ายทักษิณ” อย่างเต็มๆ ชนิดที่เรียกว่าเอาคืน “ย้อนศร” กันทุกดอก ทั้งในและนอกสภา โดยเฉพาะการตั้งเวทีเดินสายถล่มทั้งในจอและนอกจอ เรียกได้ว่าทำเอา “นายใหญ่” และเครือข่ายหัวหมุนไปเหมือนกัน
โดยเฉพาะเมื่อมาเจอกับ “ทีเด็ด” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ออกมาเปิดโปงว่า ทักษิณ เคยส่งตัวแทนมาเจรจาขอเลิกขวางกฎหมายล้างผิด เพื่อแลกกับการ “ปรองดอง” เข้าร่วมรัฐบาล แต่ถูกปฏิเสธไป พร้อมทั้งจุดประเด็น “ไม่ยอมเป็นขี้ข้า” จนเป็นที่ฮือฮา
อย่างไรก็ดี หากมองในภาพรวมถือว่างานนี้ “เขี้ยวเจอเขี้ยว” กินกันไม่ลง แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือ มันทำให้เกิดความปั่นป่วนไม่น้อยในหมู่คนเสื้อแดง ระดับมวลชนที่หนุนหลังทั้งรัฐบาลและเคยยอมตายแทน ทักษิณ เพราะกลายเป็นว่าจู่ๆคนที่เคยสั่งให้หัวโจกคนเสื้อแดงและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ปลุกระดมชี้หน้าด่าอยู่ตลอดเวลาว่าเป็น “ฆาตรกร” ฆ่าประชาชน แต่ใต้ดินกลับยื่นมือไปขอปรองดองคืนดีกันหน้าตาเฉย แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร (วะ)
เมื่อประเมินถึงความเป็นไปได้และผลที่จะได้ในอนาคต มันก็ทำให้ยิ่งน่าคิดว่าการเมืองไทยมันช่างน้ำเน่า อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ มวลชนคนเสื้อแดงต้องตกเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป และเมื่อแยกออกมาพิจารณาต่างหากมันก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อไหร่ที่ไม่เห็นความสำคัญ หรือไร้ประโยชน์ก็ “ถีบหัวเรือส่ง” แต่เมื่อเกมทำท่าพลิกผันก็ดึงกลับมาใช้ใหม่
ดังนั้นถ้ามองในมุมของทักษิณ ถือว่ามีแต่ภาพลบ และยิ่งทางฝ่ายประชาธิปัตย์โดยเฉพาะ สุเทพ ออกมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มีการชี้ให้เห็นเป็นฉากๆ ว่ามีใครบ้างที่ส่งเข้ามาทาบทาม แถมล่าสุดยังสำทับด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าไปอีก มันก็ยิ่งน่าคิด เพราะในแง่ของเหตุผลมันก็เป็นไปได้ หากมีการเออออห่อหมกผลจะออกมาแบบ “วิน-วิน” ถูกลบล้างคดี ลบล้างความผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อฝ่ายประชาธิปัตย์เลือกออกมาแฉแบบนี้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าได้เลือกทางเดิน ซึ่งก็หมายความว่าได้ประเมินอย่างรอบคอบแล้ว
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ ระดับ “เทพเทือก” รับรองว่า “โคตรเขี้ยว” ทำเอา ทักษิณ จุกอกได้เหมือนกัน!!
