ผ่าประเด็นร้อน
การเปิดประเด็นของระดับ “ขาใหญ่” ในพรรคประชาธิปัตย์บนเวทีปราศรัย “ผ่าความจริง” ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเมื่อวันก่อน ว่า ทักษิณ ชินวัตร เคยส่งคนมาทาบทามให้ร่วมมือกันผ่านกฎหมาย “ล้างผิด” หรือที่เรียกว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ เพื่อแลกกับการร่วมรัฐบาล เริ่มส่งผลสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทย และมวลชนเสื้อแดงไม่น้อย หากสังเกตจากอาการของพวกบรรดา “หัวโจกคนเสื้อแดง” รวมทั้งคนใกล้ชิดของ ทักษิณ อย่าง นพดล ปัทมะ ที่รีบออกมาปฏิเสธพัลวันว่า ไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้
บนเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยที่เปิดตามหลังพรรคประชาธิปัตย์หนึ่งวัน หัวโจกเสื้อแดงอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ได้ย้ำว่า สุเทพ พูดโกหก เพราะไม่มีทางปรองดองกันได้เด็ดขาด แต่วันรุ่งขึ้นก็ต้องโดน โฆษกพรรคประชาธิปัตย์อย่าง ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ออกมาสวนว่าคนพวกนี้ “ไม่รู้จริง” ในทำนองว่าคนพวกนี้ “กระจอก” เกินไปที่จะรู้เรื่องจริงว่า ทักษิณ ได้เคยส่งคนมาทาบทามแล้ว
อย่างไรก็ดีนาทีนี้แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง เพราะเป็นไปได้เท่าๆกัน แต่เอาเป็นว่ามันได้ส่งผลสะเทือนไปไกลไม่น้อยเหมือนกันโดยเฉพาะกับฝั่งพรรคเพื่อไทยและในหมู่คนเสื้อแดง ที่ก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีเสียงบ่นมากขึ้นเรื่อยๆจากการ “ถีบหัวเรือส่ง” กรณีขับรถขึ้นเขาไปกับอำมาตย์เรื่องการออกกฎหมายล้างผิด ก่อนที่จะถูกรุมต้านจนต้องยืดเวลาออกไปอีก
ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ ทักษิณ จะ “หน้ามืด”ส่งคนไปทาบทามปรองกับพวกประชาธิปัตย์ ก็ต้องตอบว่าเป็นไปได้ และเป็นไปได้มากเสียด้วย
หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ลักษณะนิสัยของเขา เพราะในความเป็นจริงเขาไม่ได้เป็นคนมีอุดมการณ์อะไร แต่มองทุกอย่างในเรื่อง “กำไร” ก็ทำได้หมดและไม่ขัดเขิน ซึ่งกรณีดังกล่าวหากพระราชบัญญัติฉบับนี้ผ่านสภาก็คุ้มค่า ลบล้างความผิดที่ติดตัวทั้งหมด อีกทั้งยังได้ทรัพย์สินที่ถูกริบไป 4.6 หมื่นล้านบาทกลับคืนมา
ขณะเดียวกันเขาก็คงคิดว่าประชาธิปัตย์คงจะเห็นดีเห็นงามด้วย เพราะนั่นเท่ากับว่าข้อกล่าวหา สุเทพ เทือกสุบรรณ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่อง “ฆ่าคนเสื้อแดง” ที่ถูกย้ำประโคมจากพวกหัวโจกมาตลอดก็จะถูกล้างออกไปด้วย
การออกมาไขในที่แจ้งของ “ขาใหญ่”พรรคประชาธิปัตย์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว หากพิจารณาจากปฏิกิริยาตอบโต้และปฏิเสธของคนรัฐบาลและหัวโจกคนเสื้อแดง ก็ย่อมส่งผลสะเทือนแน่นอน
เพราะมันยิ่งตอกย้ำความหวาดระแวงในหมู่คนเสื้อแดงบางกลุ่มในเรื่อง “ถูกหลอกใช้” ให้ดังก้องขึ้นมาอีก
และอย่าได้แปลกใจที่ในช่วงหลังคนพวกนี้กำลังพยายามสร้างกระแสเรื่อง “อำมาตย์” ชักใยโค่นล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ข่าวคราวเรื่องปฏิวัติรัฐประหารเริ่มประโคมกันอย่างผิดสังเกต
ทางหนึ่งเป็นการกลบเกลื่อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น สอง เป็นการดึงมวลชนคนเสื้อแดงให้กลับมารวมกันอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เริ่มมีความแตกแยก ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ในระหว่างพวกหัวโจกระดับดารา ที่หลายคนได้รับการปูนบำเหน็จกลายสภาพเป็นอำมาตย์ มีตำแหน่งการเมืองกินเงินเดือน มีความเป็นอยู่สุขสบาย ขณะที่ระดับปลายแถวตามบ้านเมืองกลับไม่ได้รับการเหลียวแล หลายคนยังติดคุกลูกผัวยากลำบากแสนสาหัส
ล่าสุด ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อญี่ปุ่นได้เปลือยตัวตนออกมาอีกรอบว่าต้องการให้ร่าง พระราชบัญญัติปรองดองผ่านสภาเพื่อที่ตัวเองจะได้กลับบ้าน และมีความฝันว่าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ความหมายชัดยิ่งกว่าชัดว่าทำแบบไหนก็ได้ที่ทำให้ตัวเองพ้นผิดและได้กลับมาสู่วงการเมือง กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งในมุมของประชาธิปัตย์การออกโรงในเรื่องทาบทามปรองดอง จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่มองในภาพรวมถือว่าได้ผลเกินคาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินสายตั้งเวที “ผ่าความจริง” ไปทั่วประเทศเปิดโปงถล่มพรรคเพื่อไทย การมีทีวีสีฟ้า “บลูสกาย” ชนกับทีวีสีแดง ถือว่าแลกหมัดกันได้ดี อย่างน้อยก็ตรึงมวลชนไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามปลุกระดมอยู่ข้างเดียว
ดังนั้นถ้าพิจารณาในภาพรวมงานนี้ถือว่าฝ่ายประชาธิปัตย์กำลังตีโต้เอาคืนแบบย้อนศรฝ่าย เพื่อไทยและคนเสื้อแดง ซึ่งสังเกตให้ดีก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน ไม่ต่างกันเลย และหากจะว่ากันไปแล้วเรื่อง “ฝีปาก” ขุนพล ประชาธิปัตย์ก็มีพร้อม แม้ว่าแรกๆอาจยังไม่คุ้นกับการพูดจาหยาบคายบนเวที แต่ระยะหลังหากลองติดตาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ และคนอื่นๆแล้วเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาเรื่อยๆ
กลายเป็นว่าเวลานี้ฝ่ายที่ต้องตามแก้เกมกันพัลวันกลับเป็นฝ่ายเพื่อไทย ที่ต้องตามประกบทุกฝีก้าว นั่นก็แสดงให้เห็นว่าผวามวลชนเริ่มรวนตีตัวออกห่างหรือเปล่า หลังจากผ่านมาเกือบปีแล้วรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผลงานยังไม่น่าประทับใจ ไม่สมกับความคาดหวัง !!