(๑)
คำร้องให้พิจารณาวินิจฉัย
แรื่องพิจารณาที่......./.......................
ศาลรัฐธรรมนูญ
วันที่ ๑๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ระหว่าง พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพวกผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖
นายสุนัย จุลพงศธร กับพวก ๔๑๖ คนผู้ถูกร้อง
เรื่องปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/หรือโดยทุจริตและกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
ข้าพเจ้า พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม (ชื่อและที่อยู่ปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑) ผู้ร้อง
สัญชาติ- ตำแหน่งหรืออาชีพ-
เกิดวันที่-เดือน-พ.ศ.-อายุ- ปี
อยู่บ้านเลขที่-หมู่ที่-ถนน-
ตรอก/ซอย-ตำบล/แขวง-อำเภอ/เขต-
จังหวัด-รหัสไปรษณีย์-โทรศัพท์- โทรสาร-
ขอยื่นคำร้องโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐มาตรา ๖๘ ,๒๑๒
โดยมีข้อเท็จจริงและคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริง
ข้อ ๑. ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ผู้มีรายชื่อตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑ เป็นผู้เสียหายในการกระทำผิดอาญา อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ( สมัยนิติบัญญัติ) โดยประธานรัฐสภาได้เสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาเป็นเรื่องด่วนระหว่างวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบรับร่างรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มทั้งสามฉบับ ด้วยคะแนนเสียง ๓๙๙ เสียง และได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน ๔๕ คน เพื่อพิจารณาโดยถือเอาร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรีเป็นหลักในการพิจารณาแล้ว จึงเป็นการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อบ และ/หรือ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่จะได้รับความคุ้มครองในสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ในความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ และ/หรือต้องสูยเสียรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพราะรัฐธรรมนูญมีเหตุขัดข้องในการใช้บังคับกับประชาชนในการบริหารราชการแผ่นดินของผู้ถูกร้องแต่อย่างใด ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยด่วนต่อไป
ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นปวงชนชาวไทย เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ทางรัฐสภา ทางคณะรัฐมนตรีและทางศาล ดังนั้นการใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยในการปฏิบัติหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและของคณะรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจไม่ได้ จะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้ตามขอบเขตภายในกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่ได้บัญญัติไว้เท่านั้น และจะปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่ได้ไม่ว่าในกรณีใด เพราะผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยก็ไม่สามารถกระทำการใดๆอันเป็นปฏิปักษ์หรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายได้ รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นเพียงผู้แทนของผู้ร้องและของปวงชนชาวไทยจึงไม่มี “อำนาจหน้าที่” หรือ “มีเอกสิทธิ์” ใดๆที่จะใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรนูญหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญนั้น หาได้ไม่ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะได้กราบเรียนต่อศาลถึง “อำนาจ” “หน้าที่” และ “ความรับผิดชอบ” ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามรัฐธรรมนูญ “การได้รับสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตามรัฐธรรมนูญ” “การจำกัดสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องตามรัฐธรรมนูญ” “การใช้อำนาจขององค์กรของรัฐในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความในกฎหมายที่ต้องผูกพันรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีที่จะต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ โดยจะตรากฎหมาย โดยละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้” ในลำดับต่อไป เพื่อให้ศาลได้โปรดมีคำวินิจฉัยไต่สวนความผิดในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ โดยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๙๑ เพื่อนำไปสู่การ
ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ นั้น เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทย อันเป็นการใช้อำนาจโดยพละการของผู้ถูกร้อง เพื่อการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญโดยจะอ้างสิทธิเสรีภาพของการเป็นสมาชิกรัฐสภา หรือการเป็นคณะรัฐมนตรีมาดำเนินการนั้น หาได้ไม่ เพราะเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพโดยละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคแรก ซึ่งได้มีการวางแผนแบ่งงานกันทำมาตั้งแต่ต้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เมื่อผู้ถูกร้องใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงและมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องในกรณีนี้ในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นผู้ถูกละเมิดและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคสอง และมาตรา ๖๘ วรรคสอง
เมื่อผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เป็นปวงชนชาวไทย เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ รัฐธรรมนูญได้กำหนด “ อำนาจ” “หน้าที่” และ “ ความรับผิดชอบของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖” ไว้ โดยให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ ( รัฐธรรมนนูญแห่งราชอาณาจักรไทยย พ.ศ. ๒๕๕๐) ให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย ให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐ , ๗๑ , ๗๒ )
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไว้ โดยการใช้อำนาจขององค์กรของรัฐทุกองค์กร จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ และสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้แจ้งชัด ในเรื่อง “ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ” สิทธิใน “ ความเสมอภาค” “ สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล” “ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม” “ สิทธิในทรัพย์สิน” “ สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ” “ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน” “ สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา” “ สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ” “ สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน” “ เสรีภาพในทางชุมนุมและการสมาคม” “ สิทธิชุมนุม” “ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๓ , ๔ ประกอบกับมาตรา ๓๐ ถึงมาตรา ๖๙ ซึ่งผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐและหน่วยงานของรัฐโดยตรง ในการ “ ตรากฎหมาย ” การ “ใช้บังคับกฎหมาย ” และ “ การตีความในกฎหมาย ” ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖ , ๒๗ ) โดยจะใช้อำนาจในการ “ ตรากฎหมาย ” “ ใช้บังคับกฎหมาย ” และ “ การตีความในกฎหมาย ” โดยละเมิดต่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามที่บัญญัติไว้ในหมวดที่ ๓ ไม่ได้
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติจำกัดสิทธิในการอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไว้โดยให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖กระทำได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้นผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะอ้างศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ หรือผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะใช้สิทธิเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ รวมทั้งจะใช้สิทธิและเสรีภาพขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ได้ ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคแรก ) เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆรวมทั้งผู้ถูกร้อง ซึ่งจะใช้สิทธิเสรีภาพโดยละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้ตามนัยมาตรา ๒๘ วรรคแรกเช่นเดียวกัน
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หากผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่อาจไปสิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๒ การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ก็เพื่อให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนปวงชนชาวไทย หรือผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ต้องไม่อยู่ในความผูกพันแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๒ ) เพราะการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนปวงชนชาวไทยเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจเฉพาะตัวของผู้แทนมาปฏิบัติหน้าที่
( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓) ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรม ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ ) ซึ่งก็คือ ผู้ถูกร้องต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกประการ จะปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่ได้ จะกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นการทำหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ก็เป็นการทำหน้าที่โดยขัดต่อการเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ การกระทำนอกอำนาจของการเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดอาญาในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ
การใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อให้ได้ผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้สละสิทธิในศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะทำหน้าที่เป็นผู้แทนโดยละเมิดต่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ไม่ได้ แม้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีผู้แทนแล้ว ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ยังคงมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ มีสิทธิและเสรีภาพและมีหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ทุกประการ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ยังคงมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีหน้าที่ป้องกันประเทศและประโยชน์ของชาติ ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๐ , ๗๑ ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีสิทธิที่จะต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆของผู้ถูกร้องที่กระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๙ ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีสิทธิที่จะดำเนินการในกรณีที่สมาชิกรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรีใช้สิทธิ เสรีภาพในทางรัฐสภา หรือในทางบริหาร เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าวได้อีก ( รัฐธรรมนูญมาตรา๖๘ ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาฯ ที่ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายได้ ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๐ , ๒๗๑ วรรคสาม ) สิทธิและหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นสิทธิและหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ อันเป็นบทบัญญัติที่รับรองในความเป็นผู้เสียหายของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไว้โดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เพื่อตรารัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ และล้มเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบรับร่างรัฐธรรมนูญไปแล้วถึงสามฉบับโดยไม่ผ่านประชามติของมหาชน เพื่อให้มหาชนเห็นชอบให้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ และจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ในบริบทแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ เสียก่อน การเสนอร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับและการเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับ จึงเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ และการที่รัฐสภา คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งยังคงใช้บังคับอยู่ จึงเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ โดยสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖(ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒) และคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะต้องใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามหลักนิติธรรม และจะใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยละเมิดต่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้ ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ , มาตรา ๔ , มาตรา ๒๖ , มาตรา ๒๗, มาตรา ๒๘) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามกฎหมายแล้ว มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งทั่วไปและวุฒิสมาชิกทำหน้าที่เป็นรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจึงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปทำหน้าที่แทนและเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยและเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ และในการปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในการปฏิบัติหน้าที่ทุกประการ
การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในส่วนที่เกี่ยวพันกันในฐานะเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖นั้น การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาจึงไม่อยู่ในความผูกพันแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๒ สมาชิกรัฐสภาในฐานะเป็นบุคคลธรรมดา จึงอยู่ในสถานะที่ต้องเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันกับบุคคลอื่นๆ โดยเป็นผู้อยู่ใต้กฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป และไม่ใช่เป็นบุคคลที่อยู่เหนือกฎหมายโดยจะกระทำตนเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายในฐานะเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยไม่ได้ จะใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ไม่มีเอกสิทธิหรือมีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดตั้งหรือยกย่องให้บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นผู้ที่อยู่เหนือกฎหมายได้ สมาชิกรัฐสภาจะเลือกปฏิบัติต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดให้เป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายหรือมีเอกสิทธิไม่ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายโดยไม่เป็นธรรม เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะกระทำมิได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐
รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐใน “การตรากฎหมาย” “ใช้บังคับกฎหมาย” “ ตีความในกฎหมาย ” เพื่อให้เป็นประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นนั้น หาได้ไม่ เพราะรัฐสภา คณะรัฐมนตรี มีความผูกพันในสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ด้วยเช่นกัน ในการใช้อำนาจของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยอย่างเสมอภาคกันแม้ไม่ใช่พวกพ้องของตนก็ตาม เพราะรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจะใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญและไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ , ๒๗, ๒๘ และมาตรา ๓๐
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ทั้งในฐานะเป็นบุคคลและในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ โดยการใช้อำนาจรัฐนั้น เป็นอำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ จะทำหน้าที่อย่างผู้อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ การได้รับเลือกตั้งให้มาทำหน้าที่โดยใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ไม่ก่อให้เกิดเอกสิทธิแก่รัฐสภา คณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือกฎหมาย หรือใช้อำนาจรัฐเหนือกฎหมายได้ เพราะผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ๑๕ ล้านเสียง ไม่ใช่เป็นบุคคลผู้อยู่เหนือกฎหมายเหนือรัฐธรรมนูญที่จะทำให้ผู้ได้รับการเลือกตั้งกลายเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายหรือมีอำนาจเหนือกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญได้
การได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมากไม่ก่อให้เกิดสิทธิการเป็นเจ้าของประเทศ หรือมีอำนาจเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของสิทธิเสรีภาพ เจ้าของสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งประเทศได้
การได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ไม่ก่อให้เกิดอำนาจเผด็จการแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งที่จะใช้อำนาจรัฐในระบอบเผด็จการ และไม่ก่อให้เกิดอำนาจหน้าที่ในทางตุลาการแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งที่จะทำให้สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในทางตุลาการที่จะชี้ว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในอดีตที่ผ่านมา เป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือการกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐในอดีตที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จะล้มกระดานเพื่อให้ทุกคนคืนสู่ฐานะเดิมนั้น หาอาจทำได้ไม่
แต่ผู้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยต้องมาทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทยทั้งประเทศโดยเสมอภาคกัน และจะเอาความคิดเห็นทางการเมืองของบุคคลมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองด้วยวิธีการเลือกปฏิบัติไม่ได้ จะเอาความคิดเห็นของตนเอง พวกพ้องตนเองมาเลือกปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่ได้ และจะปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพและผลประโยชน์แต่เฉพาะตนเอง พวกพ้องตน หรือผู้ที่เลือกตั้งตนเองเข้ามานั้นไม่ได้ แต่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรม ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของทุกคน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่เพื่อตนเองและพวกพ้องของตนเอง
สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีไม่ใช่ผู้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ การใช้อำนาจในทางรัฐสภา สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญและใช้อำนาจได้ตามรัฐธรรมนูญ การเสนอร่างรัฐธรรมนูญ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยในการตรากฎหมายรัฐธรรมนูญ การดำเนินการในกระบวนการดังกล่าวในรัฐสภา จะต้องกระทำตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยจะใช้อำนาจที่ไม่ชอบหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญพ.ศ.๒๕๕๐ ไม่ได้ การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับใช้มาแต่แรกเริ่ม ย่อมเป็นเสมือนต้นไม้รากเน่า ไม่สามารถออกดอก ออกผล แตกกิ่งก้านสาขาออกไปได้เลย คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.ได้ เพราะกฎหมายที่ออกมานั้นเป็นโมฆะ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาแต่แรกเริ่มแม้จะมีการเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร. การทำหน้าที่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร.ก็เป็นโมฆะ ไม่มีผลในทางกฎหมาย เพราะ ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น
การกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้นนั้น ผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังกล่าว จะไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีเอกสิทธิโดยเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญ ที่จะไม่ถูกฟ้องคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๐ แต่อย่างใด เพราะเอกสิทธิโดยเด็ดขาดที่จะไม่ถูกฟ้องถูกกล่าวหาดำเนินคดีนั้น จะต้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงเป็นผู้เสียหายในการกระทำความผิดอาญาของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ในการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๑๓ โดยตรง
ข้อ ๒. ผู้ถูกร้องทั้ง ๔๑๖ คน ซึ่งมีรายชื่อท้ายคำร้องหมายเลข ๒ โดย ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ และผู้ถูกร้องที่ ๓๑๑ ถึง ที่ ๓๔๐ รวม ๓๐๕ คน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกร้องที่ ๓๔๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ รวม ๗๖ คน เป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗, ๒๗๖ ถึงที่ ๓๑๐ รวม ๓๖ คน เป็นคณะรัฐมนตรี ผู้
ถูกร้องที่ ๔๑๖ เป็นประธานรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภารวม ๓๘๒ คน เป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ และได้รับมอบหมายในฐานะเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยให้ไปทำหน้าที่แทนโดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยทั้งมวลในระบบรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ผู้ถูกร้อง ๓๘๒ คน ทั้งในฐานะเป็นบุคคลธรรมดาและในฐานะเป็นผู้แทนผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทย จึงต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยเสมอกับประชาชนคนไทยและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเท่าเทียมกัน โดยจะต้องทราบว่าผู้ถูกร้องและประชาชนคนไทยทุกคน รัฐธรรมนูญได้บัญญัติคุ้มครองศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลทุกคนไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ และได้บัญญัติรับรองสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนไว้ในหมวด ๓ รวม ๑๒ ประการ และรัฐธรรมนูญยังได้บัญญัติการใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีนั้น ต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรมรวมถึงได้บัญญัติให้การใช้อำนาจของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจในการตรากฎหมาย ใช้บังคับกฎหมาย และใช้อำนาจในการตีความกฎหมายนั้น รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ ซึ่งผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะใช้อำนาจในการตราหรือออกกฎหมายนั้น จะต้องออกกฎหมายเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชนทุกคนโดยเสมอภาค โดยจะเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้นจะกระทำมิได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐในการตรากฎหมาย ใช้บังคับกฎหมาย หรือ ตีความกฎหมาย (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔,๒๖,๒๗ , ๒๘ และมาตรา ๓๐)
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๘๒ คน เป็นสมาชิกรัฐสภา เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งได้ปฏิญาณตนว่า “ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ” และเมื่อเข้ารับตำแหน่งหน้าที่แล้ว ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๘๒ คน ได้รู้ว่า ตนเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ และใช้อำนาจอธิปไตยของคนไทยทั้งประเทศในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เป็นผู้แทนเฉพาะบุคคล ๑๕ ล้านคนที่ได้เลือกตั้งตนมาเท่านั้น และจะต้องรู้ว่าการทำหน้าที่โดยใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยนั้น เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรมและต้องไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ และรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒ มาตรา ๑๒๓
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๘๒ คน ทราบถึงการทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติของตนในการประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ ( Legislative Power ) ที่จะตรากฎหมาย หรือออกกฎหมาย หรือแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกกฎหมาย ผู้ถูกร้องจะกระทำได้ก็แต่เฉพาะกรณีที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ คือ
( ก ) ดำเนินการประชุมได้เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในหมวด ๒ ( พระมหากษัตริย์)( ข ) ดำเนินการประชุมเพื่อตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการให้กระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๘ ถึงมาตรา ๑๔๑( ค) ดำเนินการประชุมพิจารณาเพื่อตราพระราชบัญญัติต่างๆรวมทั้งพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงิน รัฐธรรมนูญได้บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการให้กระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๒ ถึงมาตรา ๑๕๓ และมาตรา ๑๖๘( ง ) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตราอื่นๆทุกมาตราเป็นรายมาตรา ต้องกระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑
อำนาจหน้าที่ในการตราหรือออกกฎหมาย หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมายนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ ( Legislative Power ) อันเป็นอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาโดยเฉพาะ รัฐสภาจะแต่งตั้งหรือมอบหมายโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้บุคคลอื่นกระทำแทนไม่ได้ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติแทนรัฐสภาไม่ได้ เพราะเป็นการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ และรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต การกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภาทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้ เพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ได้นำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ (๑๖ ) โดยบัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๙๑ ได้เท่านั้น แต่ไม่ได้บัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้แต่อย่างใด การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้ ทั้งรัฐธรรมนูญก็ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับ “หลักเกณฑ์และวิธีการ ” ของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ไว้เลย “อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ และอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๙๑” จึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐสภาโดยตรง เพราะหากให้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้โดยตรง รัฐสภาก็จะใช้สิทธิและเสรีภาพโดยเสียงข้างมากล้มเลิกรัฐธรรมนูญและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ตามอำเภอใจ อันเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทย โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ (๑๖ ) ขัดต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาสามารถกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญโดยยกเลิกหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศได้ รัฐสภาสามารถกระทำการใดๆในทางรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมและละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ใน รัฐธรรมนูญหมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของ
ปวงชนชาวไทย หมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และขัดกับอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่ได้ปฏิญาณตนในการเข้ารับตำแหน่งไว้ว่า “ จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ” การกระทำของรัฐสภาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ มาตรา ๑๓๖ (๑๖) จึงเป็นโมฆะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐
“ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเฉพาะมาตรา ๒๙๑ หลักเกณฑ์และวิธีการในการแก้ไขเพิ่มเติมโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ” เป็นอำนาจหน้าที่ของปวงชนชาวไทย เพราะมีผลเป็นการล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ทั้งฉบับ หาใช่เป็นอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะของรัฐสภาที่จะใช้อำนาจโดยตรงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ หาได้ไม่ เพราะเจตนารมณ์วิธีการและหลักเกณฑ์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ จะต้องกระทำโดยต้องผ่านความเห็นชอบจากปวงชนชาวไทย โดยต้องทำประชามติเสียก่อนตามที่บัญญัติไว้ในบริบทของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศนั้นได้ผ่านประชามติมาแล้ว ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยาก จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามหลักสากล ( Rigid Constitution )
เอกสิทธิของการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่รัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิโดยเด็ดขาด มิให้ผู้ใดนำไปเป็นเหตุร้องว่ากล่าวสมาชิกในทางใดมิได้ ทั้งในการแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๐ วรรคแรกนั้น เป็นเอกสิทธิตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Privileged ) การได้รับเอกสิทธิโดยเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญ จะต้องเป็นการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะประชุมได้เท่านั้น แต่สมาชิกรัฐสภาจะไม่ได้เอกสิทธิเด็ดขาดหากการประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้นเป็นการประชุมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ เพราะการประชุมดังกล่าวเป็นโมฆะ เอกสิทธิเด็ดขาด หรือเอกสิทธิตามรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายสากลทั่วไปที่ว่า “บุคคลจะถือประโยชน์จากการกระทำอันมิชอบของตนไม่ได้ ” ( Nullus Commodum capere potest de imjuria sua propria ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงมีอำนาจร้องคดีสมาชิกรัฐสภาในกรณีดังกล่าวได้ ทั้งในทางรัฐธรรมนูญและทางอาญา
ข้อ ๓. ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๐ เป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๙๖ , ๒๙๘ , ๓๐๐ , ๓๐๒ , ๓๐๔ , ๓๐๗ , ๓๐๘ และ ๓๑๐ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนและเป็นสมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีมีอำนาจและใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน
( Executive Power ) การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ มาตรา ๔ ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปหลักนิติธรรมและตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และในการบริหารราชการแผ่นดินคณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในด้านกฎหมายและการยุติธรรมที่คณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินได้นั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการจัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการเป็นอิสระ เพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนั้น หรือจัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินการเป็นอิสระเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญในหมวด ๕ และตามมาตรา ๗๕ , ๗๖ , ๘๑ (๓ ) ( ๔ ) การจะใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีที่จะมีนโยบายหรือกำหนดนโยบายให้มีองค์กรอิสระที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เลย และรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีอำนาจดำเนินการใดๆที่จะมีผลล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้ในปัจจุบันได้ คณะรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตราใดมาตราหนึ่งหรือหลายมาตราได้เป็นรายมาตรา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ เท่านั้น โดยต้องเสนอเป็นญัตติแก้ไขเพิ่มเติม และคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเฉพาะมาตรา ๒๙๑ เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ การกระทำของคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะทำได้แล้ว ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๕ ถึงมาตรา ๘๗ แล้ว การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ เพราะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ อันเป็นการใช้อำนาจบริหารโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ , ๔ . ๒๖,๒๗,๒๘ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๓ และมาตรา ๑๕๗
ข้อ ๔. เมื่อระหว่างวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อเนื่องกัน ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในเชิงอำนาจในการใช้อำนาจทางรัฐสภาของผู้ถูกร้อง โดยผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต้องตรวจสอบคานอำนาจซึ่งกันและกันในการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยรวม แต่ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต ในการสมรู้ร่วมกันในทางการใช้อำนาจ อันเป็นระบบเผด็จการทางรัฐสภาโดยอาศัยการออกเสียงในรัฐสภา เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เพื่อประโยชน์ส่วนตน พวกพ้องและเพื่อประโยชน์แก่พรรคการเมืองของตน อันเป็นการทุจริตคอรัปชั่นในการใช้อำนาจหน้าที่ โดยอ้างว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ซึ่งแท้จริงมิใช่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ แต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พรรคการเมืองซึ่งมีทั้งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารสามารถผูกขาดการใช้เป็นอำนาจบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นนิติรัฐได้โดยสมบูรณ์ โดยให้รัฐสภาซึ่งมีอำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายมารองรับการใช้อำนาจบริหารได้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าการใช้อำนาจบริหารนั้นจะเป็นการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ หรือจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวหรือประโยชน์ของประชาชนโดยรวมถือไม่ อันเป็นการใช้อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติในทางสมยอมหรือฮั้วกันเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักนิติธรรม ให้กลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยหลักนิติรัฐด้วยวิธีการออกกฎหมายมารองรับการกระทำดังกล่าวของฝ่ายบริหารได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ จึงเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่อำนาจเผด็จการของพรรคการเมือง การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทั้งในเชิงอำนาจและเชิงเศรษฐกิจได้แบบเบ็ดเสร็จ
เมื่อผู้ถูกร้องทั้งหมดได้เข้ามามีตำแหน่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ทั้งในทางนิติบัญญัติและทางบริหาร และเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยโดยการเลือกตั้ง ตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยผู้ถูกร้องได้ทราบว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม เป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารให้มีดุลยภาพตามระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่น สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าวตามมติมหาชน ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฯ เป็นอุปสรรคต่อการใช้อำนาจรัฐในการบริหารราชการแผ่นดินและอำนาจรัฐในทางนิติบัญญัติ เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ ไม่ส่งเสริมระบบพรรคการเมืองทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอไม่มีความมั่นคงและต่อเนื่องในการครองอำนาจการใช้อำนาจของพรรคการเมือง เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวได้กำหนดแนวนโยบายแห่งรัฐให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้ทุกระดับ ให้ประชาชนมีความเข้มแข็งทางการเมือง ให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๗ แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองที่ปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนนั้น ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมบนพื้นฐานของหลักนิติรัฐโดยธรรมมากกว่าที่จะให้พรรคการเมืองปฏิบัติหน้าที่โดยใช้หลักนิติรัฐเหนือกว่าหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติรัฐนั้นพรรคการเมืองสามารถจัดทำกฎหมายมารองรับการกระทำของพรรคการเมืองได้ การกระทำที่ไร้ซึ่งหลักนิติธรรม จะเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติรัฐอยู่ในตัวเอง แต่การกระทำที่ถูกต้องตามหลัก
นิติรัฐนั้น อาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติรัฐจะขึ้นอยู่กับมาตรฐานของความเป็นคนมีคุณธรรมของผู้มีและใช้อำนาจรัฐ หรือขึ้นอยู่กับความพอใจของกลุ่มบุคคล หรือฝูงชนผู้มีและใช้อำนาจรัฐที่จะออกกฎหมายมาอย่างไรก็ได้ การกระทำเพื่อให้ระบบพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งโดยใช้หลักนิติรัฐด้วยวิธีการออกกฎหมายมารองรับหรือออกกฎหมายมาเพื่อเอื้อประโยชน์ตามความต้องการของพรรคการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารรวมทั้งอำนาจตุลาการ ก็จะกลายเป็นอำนาจผูกขาดของกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นพรรคการเมือง วงศ์ตระกูล หรือเป็นเครือญาติของพรรคการเมืองเท่านั้น
ผู้ถูกร้องทั้งหมดมีเจตนาที่กระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญอันเป็นความผิดอาญา ได้ปรากฏหลักฐานตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของร่างรัฐธรรมนูญว่า “ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล ตลอดจนองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ มีความเป็นนิติรัฐโดยสมบูรณ์ ” กับมีข้อความว่า “ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ไม่ส่งเสริมระบบพรรคการเมือง ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ เกิดความไม่มั่นคงและต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ” เหตุผลที่ระบุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นมูลเหตุจูงใจที่จะสร้างอำนาจผูกขาดหรืออำนาจเผด็จการให้แก่พรรคการเมือง โดยต้องตรากฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อให้พรรคการเมืองมีอำนาจเด็ดขาดสามารถบงการให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรีออกกฎหมายมาใช้บังคับกับรัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งศาลให้มีอำนาจหน้าที่ หรือไม่ให้มีอำนาจหน้าที่อย่างไร เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง นักการเมืองและพวกพ้องของนักการเมืองก็ย่อมกระทำได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีกฎหมายออกใช้บังคับแล้ว ก็สามารถอ้างว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักนิติรัฐได้ เพราะได้กระทำไปตามกฎหมายที่ออกใช้บังคับ การมีอำนาจในการออกกฎหมายใช้บังคับได้เอง และใช้อำนาจตามกฎหมายบังคับได้เอง เพราะมีทั้งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารก็สามารถควบคุมทุกองคาพยพที่เป็นองค์กรของรัฐได้ทุกองค์กร โดยการออกกฎหมายและใช้เสียงข้างมากที่สังกัดพรรคการเมืองออกกฎหมายมาใช้บังคับได้ทุกรูปแบบ การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อแสวงหาอำนาจเผด็จการให้แก่พรรคการเมืองและเป็นเผด็จการทางรัฐสภา ซึ่งไม่ใช่เป็นระบอบประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทยตามความหมายของคำว่าระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล แต่เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปแสวงหาประโยชน์ ทั้งทางอำนาจหรือประโยชน์อื่นใดให้กับตนเอง พรรคการเมืองของตนเองได้
การกระทำความผิดอาญาของผู้ถูกร้องทั้งหมดโดยมีมูลเหตุจูงใจ ตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของร่างรัฐธรรมนูญอีกประการหนึ่งที่ว่า “ เป็นรัฐธรรมนูญที่สืบทอดมาจากอำนาจของการทำรัฐประหาร อันเป็นการได้อำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญบางมาตราให้การรับรองการกระทำของคณะรัฐประหารโดยปราศจากการตรวจสอบ เป็นผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เกิดความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนจนเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงเป็นการสมควรที่จะจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตย ” นั้น เป็นการเอาเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต คือ การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลที่ว่า “ กฎหมายมองไปในอนาคต ไม่ใช่มองย้อนหลังในอดีต ” (Lex prospicit non respicit) และการกระทำที่ได้เกิดขึ้นในอดีตนั้น ผู้ถูกร้องทั้งหมดก็ได้ยอมรับผลของการกระทำรัฐประหารที่ได้กระทำในอดีตนั้นแล้ว คือได้ประโยชน์ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นสมาชิกรัฐสภาเป็นคณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารแล้ว ผู้ถูกร้องก็จะตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่และล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ผู้ถูกร้องได้รับผลประโยชน์นั้นเสีย โดยที่ผู้ถูกร้องไม่ได้สละตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ที่เกิดจากผลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ได้รับการเลือกตั้งมาแต่อย่างใด แต่จะใช้ตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ที่ได้รับประโยชน์มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม นั้น อยู่ในอำนาจการจัดทำของผู้ถูกร้องทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจเป็นผู้ตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นเอง หรือการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นอยู่ในอำนาจการครอบงำของผู้ถูกร้องทั้งหมด จึงเป็นการที่ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ร่วมกันกระทำการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางอำนาจรัฐให้กับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพราะเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยไปดำเนินการ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพในทางรัฐธรรมนูญของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทย การใช้อำนาจหน้าที่ในทางรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้องที่ได้กระทำการโดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีความสลับซับซ้อนในตรรกะทางการใช้อำนาจหน้าที่ การกระทำความผิดอาญาดังกล่าว ได้มีการวางแผนอย่างสลับซับซ้อนและแยบยล โดยผู้ถูกร้องได้ร่วมกันวางแผนแบ่งงานกันทำเป็นขั้นเป็นตอนกล่าวคือ๔.๑ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๓ ได้ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …..) พ.ศ. …. พร้อมด้วยหลักการและเหตุผลต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้นำเสนอประชุมร่วมกันของรัฐสภา รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๓
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน ผู้ถูกร้องที่ ๒ ถึงที่ ๑๒๖ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๔ ที่ ๒๗๕ ได้ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่…..) พ.ศ……..พร้อมด้วยหลักการและเหตุผลต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเสนอประชุมร่วมกันของรัฐสภา รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๔
ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ ได้รู้แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิ เสรีภาพหรือมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายใดที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ได้ ผู้ถูกร้องมีอำนาจหน้าที่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ได้เป็นรายมาตราทุกมาตรา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ เท่านั้น โดยต้องเสนอญัตติ หลักการและเหตุผลที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกมาตราใดของรัฐธรรมนูญให้ระบุมาตราที่ต้องการแก้ไข หรือยกเลิกไว้ในหลักการ หรือระบุไว้ในเหตุผล ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.๒๕๕๓ ข้อ ๘๖ ผู้ถูกร้องทั้งหมดไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะล้มเลิกรัฐธรรมนูญ โดยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้บังคับแทนได้ ผู้ถูกร้องทั้งหมดมีอำนาจหน้าที่ในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้เฉพาะ ในกรณีที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ มาตรา ๑๓๖ (๑๖) ประกอบกับมาตรา ๒๙๑ โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆเป็นรายมาตราได้ ( ตามที่กล่าวไว้ในคำร้องข้อ ๒ )
ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบโดยทุจริตและโดยการฉ้อฉลในทางอำนาจ โดยต้องการจะล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ และต้องการจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งผู้ถูกร้องไม่มีอำนาจจะกระทำได้ เพราะไม่มีช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่จะกระทำได้ ช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เป็นช่องทางที่ผู้ถูกร้องสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆได้เป็นรายมาตรา แต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ไม่ได้ ผู้ถูกร้องไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญได้ใช้เล่ห์กลด้วยวิธีการยกร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับได้โดยตรง โดยผู้ถูกร้องได้ร่วมกันเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ เป็น (๑๗ ) มีข้อความว่า “ ( ๑๗ ) ให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑/๑ ( ๒ ) ” กับให้ “ เพิ่มรัฐธรรมนูญหมวดใหม่ขึ้นมาทั้งหมดเป็นหมวด ๑๖ เรื่อง “ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งเป็นคนละกรณีกับรัฐธรรมนูญในหมวด ๑๕ เรื่อง “ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”
การเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ เป็นมาตรา ๑๓๖ (๑๗) และการเพิ่มหมวดใหม่เป็นหมวด ๑๖ “ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ” จึงไม่ใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ แต่เป็นการเพิ่มอำนาจเด็ดขาดในการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ให้กับผู้ถูกร้องและพวกคือสภาร่างรัฐธรรมนูญ และให้อำนาจผู้ถูกร้องกับพวกตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไรก็ได้ จะสถาปนารัฐไทยเป็นอย่างไรก็ได้ เป็นการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้อำนาจตนเองและพวกจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ผู้ถูกร้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ และให้อำนาจผู้ถูกร้องซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยตรง ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้จัดทำขึ้นโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญตกไป โดยผู้ถูกร้อง “ มีสิทธิ” เสนอญัตติต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภามีมติโดยเสียงข้างมากให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เป็นการเพิ่มเติมข้อความในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อำนาจผู้ถูกร้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และล้มล้างรัฐธรรมนูญพ.ศ.๒๕๕๐ ได้ด้วยอำนาจของผู้ถูกร้องและ/หรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดอยู่ [ปรากฏตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ … ..) พุทธศักราช ……มาตรา ๒๙๑/๑๖ มาตรา ๒๙๑/๑๗] ที่ได้แนบท้ายคำร้องหมายเลข ๓
การกระทำของผู้ถูกร้องโดยการเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจแก่ตนเองพรรคการเมืองที่ตนสังกัดอยู่ มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้เอง จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒ การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าเผด็จการนาซี ซึ่งออกกฎหมายให้อำนาจเผด็จการแก่ อัลดอลฟ์ ฮีตเลอร์ ในปี ค.ศ.๑๙๓๓ เสียอีก ( Enabling Act of ๑๙๓๓ ) เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้อำนาจทางรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยให้กลายมาเป็นอำนาจอธิปไตยของพรรคการเมืองและนักการเมือง การกระทำของผู้ถูกร้องที่ได้ร่วมกันเสนอเพิ่มเติมข้อความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ ดังกล่าว เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยรวมทั้งผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ให้กลายมาเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ถูกร้องซึ่งสังกัดพรรคการเมือง การกระทำของผู้ถูกร้องมิใช่เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เท่านั้น แต่การกระทำของผู้ถูกร้องยังเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่มิใช่เป็นไปตามวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแสวงหาประโยชน์ในทางอำนาจสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
๔.๒ ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๐ เป็นคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ตามที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้บรรยายในคำร้องในข้อ ๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวัน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันผู้ถูกร้องที่ ๒๙๘ ( พล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ) รองนายกรัฐมนตรีได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวต่อประธานสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเป็นเรื่องด่วน รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๕ การกระทำของคณะรัฐมนตรีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพราะการใช้อำนาจบริหารของคณะรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ซึ่งจะต้องใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ให้เป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อแสดงมาตรการและรายละเอียดของแนวทางในการปฏิบัติราชการในแต่ละปีของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมาย ที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๖ โดยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายบริหาร หรือคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะปฏิรูปการเมือง โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เลย
การที่คณะรัฐมนตรีมีนโยบายปฏิรูปการเมืองโดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นนโยบายที่ขัดกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญในหมวด ๕ ทั้งหมวด ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินแล้วใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้วจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อสร้างอำนาจให้แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองภายใต้คำว่า “ ปฏิรูปการเมือง” ได้เลย
“ การปฏิรูปการเมือง ” โดยปฏิรูปพฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมืองให้เป็นพรรคการเมืองที่มีนักการเมืองที่ดี มีคุณธรรม ไม่ทุจริตคอรัปชั่น มีความรับผิดชอบต่อสังคมในทางพัฒนาสังคมให้มีความเข้มแข็งทั้งในความรู้ คุณธรรมความสำนึกดี และการประกอบอาชีพเพื่อให้ทุกสังคมเป็นรากแก้วของแผ่นดิน แทนการเป็นรากหญ้าของนักการเมืองและพรรคการเมืองแล้ว ก็สามารถตรากฎหมายเป็นพระราชบัญญัติหรือแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่มีอยู่แล้วได้
“ การปฏิรูปการเมือง ” โดยวิธีการหาทางเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นการปฏิรูปการเมืองเพื่อพัฒนาประเทศหรือสังคมในประเทศให้มีความเข้มแข็ง อยู่ดี กินดี แต่อย่างใด แต่เป็นการปฏิรูปในทางอำนาจเพื่อให้อำนาจนักการเมืองและพรรคการเมือง มีอำนาจในทาง
เผด็จการได้ นักการเมืองและพรรคการเมืองสามารถทำให้คนที่ทำผิดกฎหมายให้กลายเป็นวีรบุรุษได้ สามารถทำให้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายให้กลายเป็นอาชญากรได้ สามารถทำหน้าที่เป็นศาลชี้ผิดชี้ถูกได้ ตัดตอนการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนทางศาลได้ โดยขึ้นอยู่กับประชาชนคนใดเป็นพวกพ้องของนักการเมือง หรือไม่ใช่พวกพ้องของพรรคการเมือง หรือแม้แต่จะใช้อำนาจยกเลิกศาล หรือจะทำให้ศาลมาอยู่ในอำนาจของพรรคการเมือง พรรคการเมืองและนักการเมืองก็ย่อมกระทำได้ในทุกรูปแบบ เพราะการปฏิรูปการเมืองโดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งได้เริ่มต้นมาจากความคิดริเริ่มของสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมือง และมวลชนของพรรคการเมืองแล้ว การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ที่จะได้มาด้วยอำนาจรัฐสำหรับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ให้มีอำนาจในการใช้อำนาจรัฐในทางรัฐสภาได้อย่างถาวรตลอดไปเท่านั้น
และเมื่อคณะรัฐมนตรีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองด้วยแล้ว ก็จะทราบเป็นอย่างดีด้วยว่า คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้มีการปฏิรูปการเมืองโดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ได้เลย เพราะการกระทำดังกล่าวของคณะรัฐมนตรีได้เกิดผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในหมวดที่ ๑ ถึงหมวดที่ ๔ และละเมิดต่อสิทธิของประชาชนที่ประชาชนจะต้องมีคณะรัฐมนตรีที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คือการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญในหมวดที่ ๕ ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดที่จะให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีอำนาจปฏิรูปการเมือง โดยจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญและล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้เลย คณะรัฐมนตรีจึงไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้ทำการปฏิรูปการเมือง โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ และล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันตามนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อสภาได้เลย
นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ว่าจะทำการปฏิรูปการเมืองโดยการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น เป็นนโยบายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญในหมวดที่ ๕ และรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๖ , ๑๗๘ มติของคณะรัฐมนตรีที่ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่…..) พ.ศ. ……..( ตามเอกสารที่แนบท้ายคำร้อง ) จึงเป็นมติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีจะมีนโยบายเพื่อจัดตั้งองค์กรตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญได้ จะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติหาใช่ยกร่างเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญโดยตรงได้แต่อย่างใดไม่ และการจัดตั้งองค์กรของคณะรัฐมนตรีที่จะกระทำได้ในการใช้อำนาจบริหารนั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้จัดตั้ง “ องค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ ” กับจัดตั้ง “ องค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๘๑ ( ๓ ) (๔ ) เท่านั้น การกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยทุจริตไปปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางอำนาจโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๒ ไม่ได้ใช้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์และวิธีการของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ แต่ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันกระทำการอันเป็นการทุจริต โดยฉ้อฉล เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยยกร่างเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๖ เป็น ๑๓๖ ( ๑๗ ) (๑๘ ) ซึ่งมีข้อความว่า “ ( ๑๗ ) การให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑/๑ ( ๒) ” และ “ ( ๑๘ ) การให้ความเห็นชอบญัตติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามมาตรา ๒๙๑/๑๖ ” และเพิ่มข้อความเป็น “ หมวด ๑๖ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ” ขึ้นทั้งหมวดโดยไม่ได้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ แต่อย่างใด การกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว เป็นการเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจแก่ตนเองที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเป็นการแสวงหาอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้กับตนเองและพวก เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบ โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีทางซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐
การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ปรากฎผลในใบนับคะแนนเพื่อลงมติเพื่อรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...) พุทธศักราช ... ปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมาย เลข ๖
ผู้ถูกร้องดังกล่าวจะต้องบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ตามมาตรา ๑๗๖ และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตนรวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๘ คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกตามนโยบายข้อ ๑.๑๖ ว่า “ เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ” นั้น นโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาซึ่งสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย นโยบายของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงเป็นนโยบายที่ส่งสัญญาณต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองที่ร่วมคณะรัฐมนตรีที่จะร่วมมือกันเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ โดยจะตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ และให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นวางกลไกการใช้อำนาจรัฐให้เป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิรูปการเมืองเพื่อปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองขึ้นใหม่ให้มีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะปรากฏในเหตุผลร่างรัฐธรรมนูญฯที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอต่อรัฐสภา จากนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาก็ดี จากเหตุผลในร่างรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐสภาก็ดี เป็นการกระทำที่มีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันมาตั้งแต่ต้นเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองที่จะทำให้พรรคการเมืองมีเสถียรภาพเป็นโครงสร้างในระบอบการปกครองที่มีพรรคการเมืองเป็นศูนย์รวมอำนาจในการปกครองประเทศ อันเป็นการปกครองในระบอบการชิงอำนาจรัฐโดยการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการซื้อเสียง ขายเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง สัญญาจะให้เมื่อประชาชนเลือกตั้งเป็นรัฐบาลตามระบบประชานิยม อันมิใช่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่จะกลายเป็นการปกครองในระบบคณาธิปไตย ( Origachy ) หรือเป็นระบบธนาธิปไตย (Plutocracy ) เพราะร่างรัฐธรรมนูญฯทั้งสามฉบับได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระแรกไปแล้ว การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการกระทำที่ส่อให้เห็นเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นการกระทำเพื่อให้ได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐
คำร้องให้พิจารณาวินิจฉัย
แรื่องพิจารณาที่......./.......................
ศาลรัฐธรรมนูญ
วันที่ ๑๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕
ระหว่าง พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพวกผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖
นายสุนัย จุลพงศธร กับพวก ๔๑๖ คนผู้ถูกร้อง
เรื่องปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/หรือโดยทุจริตและกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
ข้าพเจ้า พลตรีจำลอง ศรีเมือง กับพวกรวม (ชื่อและที่อยู่ปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑) ผู้ร้อง
สัญชาติ- ตำแหน่งหรืออาชีพ-
เกิดวันที่-เดือน-พ.ศ.-อายุ- ปี
อยู่บ้านเลขที่-หมู่ที่-ถนน-
ตรอก/ซอย-ตำบล/แขวง-อำเภอ/เขต-
จังหวัด-รหัสไปรษณีย์-โทรศัพท์- โทรสาร-
ขอยื่นคำร้องโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐มาตรา ๖๘ ,๒๑๒
โดยมีข้อเท็จจริงและคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ดังต่อไปนี้
ข้อเท็จจริง
ข้อ ๑. ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ผู้มีรายชื่อตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑ เป็นผู้เสียหายในการกระทำผิดอาญา อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ( สมัยนิติบัญญัติ) โดยประธานรัฐสภาได้เสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาเป็นเรื่องด่วนระหว่างวันที่ ๒๓ ถึงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบรับร่างรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มทั้งสามฉบับ ด้วยคะแนนเสียง ๓๙๙ เสียง และได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน ๔๕ คน เพื่อพิจารณาโดยถือเอาร่างรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรีเป็นหลักในการพิจารณาแล้ว จึงเป็นการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อบ และ/หรือ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่จะได้รับความคุ้มครองในสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ในความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ และ/หรือต้องสูยเสียรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพราะรัฐธรรมนูญมีเหตุขัดข้องในการใช้บังคับกับประชาชนในการบริหารราชการแผ่นดินของผู้ถูกร้องแต่อย่างใด ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยด่วนต่อไป
ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นปวงชนชาวไทย เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ทางรัฐสภา ทางคณะรัฐมนตรีและทางศาล ดังนั้นการใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยในการปฏิบัติหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและของคณะรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจไม่ได้ จะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้ตามขอบเขตภายในกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่ได้บัญญัติไว้เท่านั้น และจะปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่ได้ไม่ว่าในกรณีใด เพราะผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยก็ไม่สามารถกระทำการใดๆอันเป็นปฏิปักษ์หรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายได้ รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นเพียงผู้แทนของผู้ร้องและของปวงชนชาวไทยจึงไม่มี “อำนาจหน้าที่” หรือ “มีเอกสิทธิ์” ใดๆที่จะใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรนูญหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญนั้น หาได้ไม่ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะได้กราบเรียนต่อศาลถึง “อำนาจ” “หน้าที่” และ “ความรับผิดชอบ” ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามรัฐธรรมนูญ “การได้รับสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตามรัฐธรรมนูญ” “การจำกัดสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องตามรัฐธรรมนูญ” “การใช้อำนาจขององค์กรของรัฐในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความในกฎหมายที่ต้องผูกพันรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีที่จะต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจนศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ โดยจะตรากฎหมาย โดยละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้” ในลำดับต่อไป เพื่อให้ศาลได้โปรดมีคำวินิจฉัยไต่สวนความผิดในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ โดยวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๙๑ เพื่อนำไปสู่การ
ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ นั้น เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทย อันเป็นการใช้อำนาจโดยพละการของผู้ถูกร้อง เพื่อการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญโดยจะอ้างสิทธิเสรีภาพของการเป็นสมาชิกรัฐสภา หรือการเป็นคณะรัฐมนตรีมาดำเนินการนั้น หาได้ไม่ เพราะเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพโดยละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคแรก ซึ่งได้มีการวางแผนแบ่งงานกันทำมาตั้งแต่ต้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เมื่อผู้ถูกร้องใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรงและมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องในกรณีนี้ในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นผู้ถูกละเมิดและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคสอง และมาตรา ๖๘ วรรคสอง
เมื่อผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เป็นปวงชนชาวไทย เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ รัฐธรรมนูญได้กำหนด “ อำนาจ” “หน้าที่” และ “ ความรับผิดชอบของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖” ไว้ โดยให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ ( รัฐธรรมนนูญแห่งราชอาณาจักรไทยย พ.ศ. ๒๕๕๐) ให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย ให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐ , ๗๑ , ๗๒ )
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไว้ โดยการใช้อำนาจขององค์กรของรัฐทุกองค์กร จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ และสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้แจ้งชัด ในเรื่อง “ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ” สิทธิใน “ ความเสมอภาค” “ สิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล” “ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม” “ สิทธิในทรัพย์สิน” “ สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ” “ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน” “ สิทธิและเสรีภาพในการศึกษา” “ สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ” “ สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน” “ เสรีภาพในทางชุมนุมและการสมาคม” “ สิทธิชุมนุม” “ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๓ , ๔ ประกอบกับมาตรา ๓๐ ถึงมาตรา ๖๙ ซึ่งผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐและหน่วยงานของรัฐโดยตรง ในการ “ ตรากฎหมาย ” การ “ใช้บังคับกฎหมาย ” และ “ การตีความในกฎหมาย ” ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖ , ๒๗ ) โดยจะใช้อำนาจในการ “ ตรากฎหมาย ” “ ใช้บังคับกฎหมาย ” และ “ การตีความในกฎหมาย ” โดยละเมิดต่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามที่บัญญัติไว้ในหมวดที่ ๓ ไม่ได้
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติจำกัดสิทธิในการอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไว้โดยให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖กระทำได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้นผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะอ้างศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ หรือผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะใช้สิทธิเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ รวมทั้งจะใช้สิทธิและเสรีภาพขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ได้ ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๘ วรรคแรก ) เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆรวมทั้งผู้ถูกร้อง ซึ่งจะใช้สิทธิเสรีภาพโดยละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้ตามนัยมาตรา ๒๘ วรรคแรกเช่นเดียวกัน
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หากผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่อาจไปสิทธิได้ ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๒ การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ก็เพื่อให้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนปวงชนชาวไทย หรือผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ต้องไม่อยู่ในความผูกพันแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๒ ) เพราะการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนปวงชนชาวไทยเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจเฉพาะตัวของผู้แทนมาปฏิบัติหน้าที่
( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓) ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรม ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ ) ซึ่งก็คือ ผู้ถูกร้องต้องปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกประการ จะปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่ได้ จะกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นการทำหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ก็เป็นการทำหน้าที่โดยขัดต่อการเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ การกระทำนอกอำนาจของการเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดอาญาในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ
การใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อให้ได้ผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้สละสิทธิในศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จะทำหน้าที่เป็นผู้แทนโดยละเมิดต่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ไม่ได้ แม้ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีผู้แทนแล้ว ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ยังคงมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ มีสิทธิและเสรีภาพและมีหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ทุกประการ ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ยังคงมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีหน้าที่ป้องกันประเทศและประโยชน์ของชาติ ( ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๐ , ๗๑ ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีสิทธิที่จะต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆของผู้ถูกร้องที่กระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๙ ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีสิทธิที่จะดำเนินการในกรณีที่สมาชิกรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรีใช้สิทธิ เสรีภาพในทางรัฐสภา หรือในทางบริหาร เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าวได้อีก ( รัฐธรรมนูญมาตรา๖๘ ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาฯ ที่ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายได้ ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๐ , ๒๗๑ วรรคสาม ) สิทธิและหน้าที่ของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นสิทธิและหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ อันเป็นบทบัญญัติที่รับรองในความเป็นผู้เสียหายของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไว้โดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามรัฐธรรมนูญ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เพื่อตรารัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ และล้มเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบรับร่างรัฐธรรมนูญไปแล้วถึงสามฉบับโดยไม่ผ่านประชามติของมหาชน เพื่อให้มหาชนเห็นชอบให้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ และจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ในบริบทแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ เสียก่อน การเสนอร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับและการเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับ จึงเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ และการที่รัฐสภา คณะรัฐมนตรีใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งยังคงใช้บังคับอยู่ จึงเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ โดยสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖(ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒) และคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๘ ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะต้องใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ตามหลักนิติธรรม และจะใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยละเมิดต่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่ได้ ( ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ , มาตรา ๔ , มาตรา ๒๖ , มาตรา ๒๗, มาตรา ๒๘) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามกฎหมายแล้ว มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งทั่วไปและวุฒิสมาชิกทำหน้าที่เป็นรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจึงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปทำหน้าที่แทนและเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยและเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ และในการปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ในการปฏิบัติหน้าที่ทุกประการ
การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในส่วนที่เกี่ยวพันกันในฐานะเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖นั้น การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาจึงไม่อยู่ในความผูกพันแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๒ สมาชิกรัฐสภาในฐานะเป็นบุคคลธรรมดา จึงอยู่ในสถานะที่ต้องเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันกับบุคคลอื่นๆ โดยเป็นผู้อยู่ใต้กฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป และไม่ใช่เป็นบุคคลที่อยู่เหนือกฎหมายโดยจะกระทำตนเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายในฐานะเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยไม่ได้ จะใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ไม่มีเอกสิทธิหรือมีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดตั้งหรือยกย่องให้บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นผู้ที่อยู่เหนือกฎหมายได้ สมาชิกรัฐสภาจะเลือกปฏิบัติต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดให้เป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายหรือมีเอกสิทธิไม่ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายโดยไม่เป็นธรรม เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น จะกระทำมิได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐
รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐใน “การตรากฎหมาย” “ใช้บังคับกฎหมาย” “ ตีความในกฎหมาย ” เพื่อให้เป็นประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นนั้น หาได้ไม่ เพราะรัฐสภา คณะรัฐมนตรี มีความผูกพันในสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ด้วยเช่นกัน ในการใช้อำนาจของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นซึ่งเป็นปวงชนชาวไทยอย่างเสมอภาคกันแม้ไม่ใช่พวกพ้องของตนก็ตาม เพราะรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจะใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญและไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ , ๒๗, ๒๘ และมาตรา ๓๐
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ทั้งในฐานะเป็นบุคคลและในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ โดยการใช้อำนาจรัฐนั้น เป็นอำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และเป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ จะทำหน้าที่อย่างผู้อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ การได้รับเลือกตั้งให้มาทำหน้าที่โดยใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ไม่ก่อให้เกิดเอกสิทธิแก่รัฐสภา คณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือกฎหมาย หรือใช้อำนาจรัฐเหนือกฎหมายได้ เพราะผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ๑๕ ล้านเสียง ไม่ใช่เป็นบุคคลผู้อยู่เหนือกฎหมายเหนือรัฐธรรมนูญที่จะทำให้ผู้ได้รับการเลือกตั้งกลายเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายหรือมีอำนาจเหนือกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญได้
การได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมากไม่ก่อให้เกิดสิทธิการเป็นเจ้าของประเทศ หรือมีอำนาจเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของสิทธิเสรีภาพ เจ้าของสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทั้งประเทศได้
การได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ไม่ก่อให้เกิดอำนาจเผด็จการแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งที่จะใช้อำนาจรัฐในระบอบเผด็จการ และไม่ก่อให้เกิดอำนาจหน้าที่ในทางตุลาการแก่ผู้ได้รับเลือกตั้งที่จะทำให้สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในทางตุลาการที่จะชี้ว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในอดีตที่ผ่านมา เป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือการกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐในอดีตที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จะล้มกระดานเพื่อให้ทุกคนคืนสู่ฐานะเดิมนั้น หาอาจทำได้ไม่
แต่ผู้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยต้องมาทำหน้าที่แทนปวงชนชาวไทยทั้งประเทศโดยเสมอภาคกัน และจะเอาความคิดเห็นทางการเมืองของบุคคลมาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองด้วยวิธีการเลือกปฏิบัติไม่ได้ จะเอาความคิดเห็นของตนเอง พวกพ้องตนเองมาเลือกปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่ได้ และจะปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงสิทธิ เสรีภาพและผลประโยชน์แต่เฉพาะตนเอง พวกพ้องตน หรือผู้ที่เลือกตั้งตนเองเข้ามานั้นไม่ได้ แต่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักนิติธรรม ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของทุกคน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่เพื่อตนเองและพวกพ้องของตนเอง
สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีไม่ใช่ผู้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ การใช้อำนาจในทางรัฐสภา สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญและใช้อำนาจได้ตามรัฐธรรมนูญ การเสนอร่างรัฐธรรมนูญ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ และการออกเสียงให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยในการตรากฎหมายรัฐธรรมนูญ การดำเนินการในกระบวนการดังกล่าวในรัฐสภา จะต้องกระทำตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยจะใช้อำนาจที่ไม่ชอบหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญพ.ศ.๒๕๕๐ ไม่ได้ การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับใช้มาแต่แรกเริ่ม ย่อมเป็นเสมือนต้นไม้รากเน่า ไม่สามารถออกดอก ออกผล แตกกิ่งก้านสาขาออกไปได้เลย คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.ได้ เพราะกฎหมายที่ออกมานั้นเป็นโมฆะ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาแต่แรกเริ่มแม้จะมีการเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร. การทำหน้าที่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร.ก็เป็นโมฆะ ไม่มีผลในทางกฎหมาย เพราะ ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น
การกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้นนั้น ผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังกล่าว จะไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มีเอกสิทธิโดยเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญ ที่จะไม่ถูกฟ้องคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๐ แต่อย่างใด เพราะเอกสิทธิโดยเด็ดขาดที่จะไม่ถูกฟ้องถูกกล่าวหาดำเนินคดีนั้น จะต้องเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงเป็นผู้เสียหายในการกระทำความผิดอาญาของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ในการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๑๓ โดยตรง
ข้อ ๒. ผู้ถูกร้องทั้ง ๔๑๖ คน ซึ่งมีรายชื่อท้ายคำร้องหมายเลข ๒ โดย ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ และผู้ถูกร้องที่ ๓๑๑ ถึง ที่ ๓๔๐ รวม ๓๐๕ คน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกร้องที่ ๓๔๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๔๑๖ รวม ๗๖ คน เป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗, ๒๗๖ ถึงที่ ๓๑๐ รวม ๓๖ คน เป็นคณะรัฐมนตรี ผู้
ถูกร้องที่ ๔๑๖ เป็นประธานรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภารวม ๓๘๒ คน เป็นผู้แทนของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ และได้รับมอบหมายในฐานะเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยให้ไปทำหน้าที่แทนโดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทยทั้งมวลในระบบรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ผู้ถูกร้อง ๓๘๒ คน ทั้งในฐานะเป็นบุคคลธรรมดาและในฐานะเป็นผู้แทนผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทย จึงต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยเสมอกับประชาชนคนไทยและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเท่าเทียมกัน โดยจะต้องทราบว่าผู้ถูกร้องและประชาชนคนไทยทุกคน รัฐธรรมนูญได้บัญญัติคุ้มครองศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลทุกคนไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ และได้บัญญัติรับรองสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนไว้ในหมวด ๓ รวม ๑๒ ประการ และรัฐธรรมนูญยังได้บัญญัติการใช้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีนั้น ต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรมรวมถึงได้บัญญัติให้การใช้อำนาจของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจในการตรากฎหมาย ใช้บังคับกฎหมาย และใช้อำนาจในการตีความกฎหมายนั้น รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีจะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ ซึ่งผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะใช้อำนาจในการตราหรือออกกฎหมายนั้น จะต้องออกกฎหมายเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชนทุกคนโดยเสมอภาค โดยจะเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้นจะกระทำมิได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐในการตรากฎหมาย ใช้บังคับกฎหมาย หรือ ตีความกฎหมาย (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔,๒๖,๒๗ , ๒๘ และมาตรา ๓๐)
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๘๒ คน เป็นสมาชิกรัฐสภา เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งได้ปฏิญาณตนว่า “ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ” และเมื่อเข้ารับตำแหน่งหน้าที่แล้ว ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๘๒ คน ได้รู้ว่า ตนเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ และใช้อำนาจอธิปไตยของคนไทยทั้งประเทศในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เป็นผู้แทนเฉพาะบุคคล ๑๕ ล้านคนที่ได้เลือกตั้งตนมาเท่านั้น และจะต้องรู้ว่าการทำหน้าที่โดยใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยนั้น เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรมและต้องไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ และรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒ มาตรา ๑๒๓
ผู้ถูกร้องทั้ง ๓๘๒ คน ทราบถึงการทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติของตนในการประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ ( Legislative Power ) ที่จะตรากฎหมาย หรือออกกฎหมาย หรือแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกกฎหมาย ผู้ถูกร้องจะกระทำได้ก็แต่เฉพาะกรณีที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ คือ
( ก ) ดำเนินการประชุมได้เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในหมวด ๒ ( พระมหากษัตริย์)( ข ) ดำเนินการประชุมเพื่อตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการให้กระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๘ ถึงมาตรา ๑๔๑( ค) ดำเนินการประชุมพิจารณาเพื่อตราพระราชบัญญัติต่างๆรวมทั้งพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงิน รัฐธรรมนูญได้บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการให้กระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๒ ถึงมาตรา ๑๕๓ และมาตรา ๑๖๘( ง ) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตราอื่นๆทุกมาตราเป็นรายมาตรา ต้องกระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑
อำนาจหน้าที่ในการตราหรือออกกฎหมาย หรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมายนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ ( Legislative Power ) อันเป็นอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาโดยเฉพาะ รัฐสภาจะแต่งตั้งหรือมอบหมายโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้บุคคลอื่นกระทำแทนไม่ได้ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติแทนรัฐสภาไม่ได้ เพราะเป็นการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ และรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ และเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต การกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภาทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้ เพราะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ได้นำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ (๑๖ ) โดยบัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๙๑ ได้เท่านั้น แต่ไม่ได้บัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้แต่อย่างใด การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้ ทั้งรัฐธรรมนูญก็ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับ “หลักเกณฑ์และวิธีการ ” ของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ไว้เลย “อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ และอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๙๑” จึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐสภาโดยตรง เพราะหากให้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ ได้โดยตรง รัฐสภาก็จะใช้สิทธิและเสรีภาพโดยเสียงข้างมากล้มเลิกรัฐธรรมนูญและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ตามอำเภอใจ อันเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ซึ่งเป็นปวงชนชาวไทย โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ (๑๖ ) ขัดต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาสามารถกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญโดยยกเลิกหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศได้ รัฐสภาสามารถกระทำการใดๆในทางรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมและละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ใน รัฐธรรมนูญหมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของ
ปวงชนชาวไทย หมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และขัดกับอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่ได้ปฏิญาณตนในการเข้ารับตำแหน่งไว้ว่า “ จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ” การกระทำของรัฐสภาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ มาตรา ๑๓๖ (๑๖) จึงเป็นโมฆะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐
“ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเฉพาะมาตรา ๒๙๑ หลักเกณฑ์และวิธีการในการแก้ไขเพิ่มเติมโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ” เป็นอำนาจหน้าที่ของปวงชนชาวไทย เพราะมีผลเป็นการล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ทั้งฉบับ หาใช่เป็นอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะของรัฐสภาที่จะใช้อำนาจโดยตรงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ หาได้ไม่ เพราะเจตนารมณ์วิธีการและหลักเกณฑ์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ จะต้องกระทำโดยต้องผ่านความเห็นชอบจากปวงชนชาวไทย โดยต้องทำประชามติเสียก่อนตามที่บัญญัติไว้ในบริบทของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศนั้นได้ผ่านประชามติมาแล้ว ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขยาก จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามหลักสากล ( Rigid Constitution )
เอกสิทธิของการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่รัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิโดยเด็ดขาด มิให้ผู้ใดนำไปเป็นเหตุร้องว่ากล่าวสมาชิกในทางใดมิได้ ทั้งในการแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๐ วรรคแรกนั้น เป็นเอกสิทธิตามรัฐธรรมนูญ (Constitutional Privileged ) การได้รับเอกสิทธิโดยเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญ จะต้องเป็นการประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะประชุมได้เท่านั้น แต่สมาชิกรัฐสภาจะไม่ได้เอกสิทธิเด็ดขาดหากการประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้นเป็นการประชุมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ เพราะการประชุมดังกล่าวเป็นโมฆะ เอกสิทธิเด็ดขาด หรือเอกสิทธิตามรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายสากลทั่วไปที่ว่า “บุคคลจะถือประโยชน์จากการกระทำอันมิชอบของตนไม่ได้ ” ( Nullus Commodum capere potest de imjuria sua propria ) ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖จึงมีอำนาจร้องคดีสมาชิกรัฐสภาในกรณีดังกล่าวได้ ทั้งในทางรัฐธรรมนูญและทางอาญา
ข้อ ๓. ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๐ เป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๙๖ , ๒๙๘ , ๓๐๐ , ๓๐๒ , ๓๐๔ , ๓๐๗ , ๓๐๘ และ ๓๑๐ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนและเป็นสมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรีมีอำนาจและใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน
( Executive Power ) การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ มาตรา ๔ ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปหลักนิติธรรมและตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และในการบริหารราชการแผ่นดินคณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐในด้านกฎหมายและการยุติธรรมที่คณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินได้นั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการจัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการเป็นอิสระ เพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนั้น หรือจัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินการเป็นอิสระเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญในหมวด ๕ และตามมาตรา ๗๕ , ๗๖ , ๘๑ (๓ ) ( ๔ ) การจะใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีที่จะมีนโยบายหรือกำหนดนโยบายให้มีองค์กรอิสระที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เลย และรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีอำนาจดำเนินการใดๆที่จะมีผลล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้ในปัจจุบันได้ คณะรัฐมนตรีในฐานะเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตราใดมาตราหนึ่งหรือหลายมาตราได้เป็นรายมาตรา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ เท่านั้น โดยต้องเสนอเป็นญัตติแก้ไขเพิ่มเติม และคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเฉพาะมาตรา ๒๙๑ เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ การกระทำของคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะทำได้แล้ว ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๕ ถึงมาตรา ๘๗ แล้ว การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นโมฆะ เพราะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ โดยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และปวงชนชาวไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองไว้ อันเป็นการใช้อำนาจบริหารโดยฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ , ๔ . ๒๖,๒๗,๒๘ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๓ และมาตรา ๑๕๗
ข้อ ๔. เมื่อระหว่างวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ต่อเนื่องกัน ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในเชิงอำนาจในการใช้อำนาจทางรัฐสภาของผู้ถูกร้อง โดยผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต้องตรวจสอบคานอำนาจซึ่งกันและกันในการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยรวม แต่ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือโดยทุจริต ในการสมรู้ร่วมกันในทางการใช้อำนาจ อันเป็นระบบเผด็จการทางรัฐสภาโดยอาศัยการออกเสียงในรัฐสภา เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เพื่อประโยชน์ส่วนตน พวกพ้องและเพื่อประโยชน์แก่พรรคการเมืองของตน อันเป็นการทุจริตคอรัปชั่นในการใช้อำนาจหน้าที่ โดยอ้างว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ซึ่งแท้จริงมิใช่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ แต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พรรคการเมืองซึ่งมีทั้งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารสามารถผูกขาดการใช้เป็นอำนาจบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นนิติรัฐได้โดยสมบูรณ์ โดยให้รัฐสภาซึ่งมีอำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายมารองรับการใช้อำนาจบริหารได้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าการใช้อำนาจบริหารนั้นจะเป็นการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ หรือจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวหรือประโยชน์ของประชาชนโดยรวมถือไม่ อันเป็นการใช้อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติในทางสมยอมหรือฮั้วกันเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักนิติธรรม ให้กลายเป็นการกระทำที่ชอบด้วยหลักนิติรัฐด้วยวิธีการออกกฎหมายมารองรับการกระทำดังกล่าวของฝ่ายบริหารได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ จึงเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่อำนาจเผด็จการของพรรคการเมือง การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบและ/หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ทั้งในเชิงอำนาจและเชิงเศรษฐกิจได้แบบเบ็ดเสร็จ
เมื่อผู้ถูกร้องทั้งหมดได้เข้ามามีตำแหน่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ทั้งในทางนิติบัญญัติและทางบริหาร และเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยโดยการเลือกตั้ง ตามวิถีทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยผู้ถูกร้องได้ทราบว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม เป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารให้มีดุลยภาพตามระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่น สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าวตามมติมหาชน ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฯ เป็นอุปสรรคต่อการใช้อำนาจรัฐในการบริหารราชการแผ่นดินและอำนาจรัฐในทางนิติบัญญัติ เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ ไม่ส่งเสริมระบบพรรคการเมืองทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอไม่มีความมั่นคงและต่อเนื่องในการครองอำนาจการใช้อำนาจของพรรคการเมือง เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวได้กำหนดแนวนโยบายแห่งรัฐให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้ทุกระดับ ให้ประชาชนมีความเข้มแข็งทางการเมือง ให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๗ แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองที่ปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนนั้น ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมบนพื้นฐานของหลักนิติรัฐโดยธรรมมากกว่าที่จะให้พรรคการเมืองปฏิบัติหน้าที่โดยใช้หลักนิติรัฐเหนือกว่าหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติรัฐนั้นพรรคการเมืองสามารถจัดทำกฎหมายมารองรับการกระทำของพรรคการเมืองได้ การกระทำที่ไร้ซึ่งหลักนิติธรรม จะเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติรัฐอยู่ในตัวเอง แต่การกระทำที่ถูกต้องตามหลัก
นิติรัฐนั้น อาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติรัฐจะขึ้นอยู่กับมาตรฐานของความเป็นคนมีคุณธรรมของผู้มีและใช้อำนาจรัฐ หรือขึ้นอยู่กับความพอใจของกลุ่มบุคคล หรือฝูงชนผู้มีและใช้อำนาจรัฐที่จะออกกฎหมายมาอย่างไรก็ได้ การกระทำเพื่อให้ระบบพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งโดยใช้หลักนิติรัฐด้วยวิธีการออกกฎหมายมารองรับหรือออกกฎหมายมาเพื่อเอื้อประโยชน์ตามความต้องการของพรรคการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารรวมทั้งอำนาจตุลาการ ก็จะกลายเป็นอำนาจผูกขาดของกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นพรรคการเมือง วงศ์ตระกูล หรือเป็นเครือญาติของพรรคการเมืองเท่านั้น
ผู้ถูกร้องทั้งหมดมีเจตนาที่กระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญอันเป็นความผิดอาญา ได้ปรากฏหลักฐานตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของร่างรัฐธรรมนูญว่า “ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล ตลอดจนองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ มีความเป็นนิติรัฐโดยสมบูรณ์ ” กับมีข้อความว่า “ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ไม่ส่งเสริมระบบพรรคการเมือง ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ เกิดความไม่มั่นคงและต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ” เหตุผลที่ระบุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นมูลเหตุจูงใจที่จะสร้างอำนาจผูกขาดหรืออำนาจเผด็จการให้แก่พรรคการเมือง โดยต้องตรากฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อให้พรรคการเมืองมีอำนาจเด็ดขาดสามารถบงการให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรีออกกฎหมายมาใช้บังคับกับรัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งศาลให้มีอำนาจหน้าที่ หรือไม่ให้มีอำนาจหน้าที่อย่างไร เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง นักการเมืองและพวกพ้องของนักการเมืองก็ย่อมกระทำได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อมีกฎหมายออกใช้บังคับแล้ว ก็สามารถอ้างว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามหลักนิติรัฐได้ เพราะได้กระทำไปตามกฎหมายที่ออกใช้บังคับ การมีอำนาจในการออกกฎหมายใช้บังคับได้เอง และใช้อำนาจตามกฎหมายบังคับได้เอง เพราะมีทั้งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารก็สามารถควบคุมทุกองคาพยพที่เป็นองค์กรของรัฐได้ทุกองค์กร โดยการออกกฎหมายและใช้เสียงข้างมากที่สังกัดพรรคการเมืองออกกฎหมายมาใช้บังคับได้ทุกรูปแบบ การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อแสวงหาอำนาจเผด็จการให้แก่พรรคการเมืองและเป็นเผด็จการทางรัฐสภา ซึ่งไม่ใช่เป็นระบอบประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทยตามความหมายของคำว่าระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากล แต่เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ไปแสวงหาประโยชน์ ทั้งทางอำนาจหรือประโยชน์อื่นใดให้กับตนเอง พรรคการเมืองของตนเองได้
การกระทำความผิดอาญาของผู้ถูกร้องทั้งหมดโดยมีมูลเหตุจูงใจ ตามที่ระบุไว้ในเหตุผลของร่างรัฐธรรมนูญอีกประการหนึ่งที่ว่า “ เป็นรัฐธรรมนูญที่สืบทอดมาจากอำนาจของการทำรัฐประหาร อันเป็นการได้อำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญบางมาตราให้การรับรองการกระทำของคณะรัฐประหารโดยปราศจากการตรวจสอบ เป็นผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เกิดความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนจนเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงเป็นการสมควรที่จะจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตย ” นั้น เป็นการเอาเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต คือ การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลที่ว่า “ กฎหมายมองไปในอนาคต ไม่ใช่มองย้อนหลังในอดีต ” (Lex prospicit non respicit) และการกระทำที่ได้เกิดขึ้นในอดีตนั้น ผู้ถูกร้องทั้งหมดก็ได้ยอมรับผลของการกระทำรัฐประหารที่ได้กระทำในอดีตนั้นแล้ว คือได้ประโยชน์ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นสมาชิกรัฐสภาเป็นคณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖มาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารแล้ว ผู้ถูกร้องก็จะตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่และล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ผู้ถูกร้องได้รับผลประโยชน์นั้นเสีย โดยที่ผู้ถูกร้องไม่ได้สละตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ที่เกิดจากผลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ได้รับการเลือกตั้งมาแต่อย่างใด แต่จะใช้ตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ที่ได้รับประโยชน์มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม นั้น อยู่ในอำนาจการจัดทำของผู้ถูกร้องทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจเป็นผู้ตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นเอง หรือการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นอยู่ในอำนาจการครอบงำของผู้ถูกร้องทั้งหมด จึงเป็นการที่ผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ร่วมกันกระทำการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางอำนาจรัฐให้กับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพราะเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทยไปดำเนินการ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพในทางรัฐธรรมนูญของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖และของปวงชนชาวไทย การใช้อำนาจหน้าที่ในทางรัฐธรรมนูญของผู้ถูกร้องที่ได้กระทำการโดยใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีความสลับซับซ้อนในตรรกะทางการใช้อำนาจหน้าที่ การกระทำความผิดอาญาดังกล่าว ได้มีการวางแผนอย่างสลับซับซ้อนและแยบยล โดยผู้ถูกร้องได้ร่วมกันวางแผนแบ่งงานกันทำเป็นขั้นเป็นตอนกล่าวคือ๔.๑ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๓ ได้ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ …..) พ.ศ. …. พร้อมด้วยหลักการและเหตุผลต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้นำเสนอประชุมร่วมกันของรัฐสภา รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๓
วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน ผู้ถูกร้องที่ ๒ ถึงที่ ๑๒๖ ผู้ถูกร้องที่ ๒๗๔ ที่ ๒๗๕ ได้ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่…..) พ.ศ……..พร้อมด้วยหลักการและเหตุผลต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเสนอประชุมร่วมกันของรัฐสภา รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๔
ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ ได้รู้แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิ เสรีภาพหรือมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายใดที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ได้ ผู้ถูกร้องมีอำนาจหน้าที่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ได้เป็นรายมาตราทุกมาตรา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ เท่านั้น โดยต้องเสนอญัตติ หลักการและเหตุผลที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกมาตราใดของรัฐธรรมนูญให้ระบุมาตราที่ต้องการแก้ไข หรือยกเลิกไว้ในหลักการ หรือระบุไว้ในเหตุผล ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.๒๕๕๓ ข้อ ๘๖ ผู้ถูกร้องทั้งหมดไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะล้มเลิกรัฐธรรมนูญ โดยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาใช้บังคับแทนได้ ผู้ถูกร้องทั้งหมดมีอำนาจหน้าที่ในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้เฉพาะ ในกรณีที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๒๗ วรรคสี่ มาตรา ๑๓๖ (๑๖) ประกอบกับมาตรา ๒๙๑ โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆเป็นรายมาตราได้ ( ตามที่กล่าวไว้ในคำร้องข้อ ๒ )
ผู้ถูกร้องที่ ๑ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๒๗๕ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบโดยทุจริตและโดยการฉ้อฉลในทางอำนาจ โดยต้องการจะล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ และต้องการจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งผู้ถูกร้องไม่มีอำนาจจะกระทำได้ เพราะไม่มีช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่จะกระทำได้ ช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เป็นช่องทางที่ผู้ถูกร้องสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราอื่นๆได้เป็นรายมาตรา แต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ ไม่ได้ ผู้ถูกร้องไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญได้ใช้เล่ห์กลด้วยวิธีการยกร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับได้โดยตรง โดยผู้ถูกร้องได้ร่วมกันเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ เป็น (๑๗ ) มีข้อความว่า “ ( ๑๗ ) ให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑/๑ ( ๒ ) ” กับให้ “ เพิ่มรัฐธรรมนูญหมวดใหม่ขึ้นมาทั้งหมดเป็นหมวด ๑๖ เรื่อง “ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งเป็นคนละกรณีกับรัฐธรรมนูญในหมวด ๑๕ เรื่อง “ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”
การเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๖ เป็นมาตรา ๑๓๖ (๑๗) และการเพิ่มหมวดใหม่เป็นหมวด ๑๖ “ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ” จึงไม่ใช่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ แต่เป็นการเพิ่มอำนาจเด็ดขาดในการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ให้กับผู้ถูกร้องและพวกคือสภาร่างรัฐธรรมนูญ และให้อำนาจผู้ถูกร้องกับพวกตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไรก็ได้ จะสถาปนารัฐไทยเป็นอย่างไรก็ได้ เป็นการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้อำนาจตนเองและพวกจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ผู้ถูกร้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ และให้อำนาจผู้ถูกร้องซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยตรง ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้จัดทำขึ้นโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญตกไป โดยผู้ถูกร้อง “ มีสิทธิ” เสนอญัตติต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภามีมติโดยเสียงข้างมากให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เป็นการเพิ่มเติมข้อความในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อำนาจผู้ถูกร้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และล้มล้างรัฐธรรมนูญพ.ศ.๒๕๕๐ ได้ด้วยอำนาจของผู้ถูกร้องและ/หรือพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องสังกัดอยู่ [ปรากฏตามร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ … ..) พุทธศักราช ……มาตรา ๒๙๑/๑๖ มาตรา ๒๙๑/๑๗] ที่ได้แนบท้ายคำร้องหมายเลข ๓
การกระทำของผู้ถูกร้องโดยการเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจแก่ตนเองพรรคการเมืองที่ตนสังกัดอยู่ มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้เอง จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒๒ การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าเผด็จการนาซี ซึ่งออกกฎหมายให้อำนาจเผด็จการแก่ อัลดอลฟ์ ฮีตเลอร์ ในปี ค.ศ.๑๙๓๓ เสียอีก ( Enabling Act of ๑๙๓๓ ) เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้อำนาจทางรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยให้กลายมาเป็นอำนาจอธิปไตยของพรรคการเมืองและนักการเมือง การกระทำของผู้ถูกร้องที่ได้ร่วมกันเสนอเพิ่มเติมข้อความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ ดังกล่าว เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยรวมทั้งผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ให้กลายมาเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ถูกร้องซึ่งสังกัดพรรคการเมือง การกระทำของผู้ถูกร้องมิใช่เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ เท่านั้น แต่การกระทำของผู้ถูกร้องยังเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่มิใช่เป็นไปตามวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแสวงหาประโยชน์ในทางอำนาจสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
๔.๒ ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๐ เป็นคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ตามที่ผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ได้บรรยายในคำร้องในข้อ ๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวัน คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙๑ เพื่อให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เวลากลางวันผู้ถูกร้องที่ ๒๙๘ ( พล.อ. ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ) รองนายกรัฐมนตรีได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวต่อประธานสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเป็นเรื่องด่วน รายละเอียดปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๕ การกระทำของคณะรัฐมนตรีเป็นการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพราะการใช้อำนาจบริหารของคณะรัฐมนตรีเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ ซึ่งจะต้องใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ให้เป็นไปตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
ในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อแสดงมาตรการและรายละเอียดของแนวทางในการปฏิบัติราชการในแต่ละปีของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมาย ที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน และตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๗๖ โดยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายบริหาร หรือคณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะปฏิรูปการเมือง โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เลย
การที่คณะรัฐมนตรีมีนโยบายปฏิรูปการเมืองโดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นนโยบายที่ขัดกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญในหมวด ๕ ทั้งหมวด ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินแล้วใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้วจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อสร้างอำนาจให้แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองภายใต้คำว่า “ ปฏิรูปการเมือง” ได้เลย
“ การปฏิรูปการเมือง ” โดยปฏิรูปพฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมืองให้เป็นพรรคการเมืองที่มีนักการเมืองที่ดี มีคุณธรรม ไม่ทุจริตคอรัปชั่น มีความรับผิดชอบต่อสังคมในทางพัฒนาสังคมให้มีความเข้มแข็งทั้งในความรู้ คุณธรรมความสำนึกดี และการประกอบอาชีพเพื่อให้ทุกสังคมเป็นรากแก้วของแผ่นดิน แทนการเป็นรากหญ้าของนักการเมืองและพรรคการเมืองแล้ว ก็สามารถตรากฎหมายเป็นพระราชบัญญัติหรือแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่มีอยู่แล้วได้
“ การปฏิรูปการเมือง ” โดยวิธีการหาทางเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นการปฏิรูปการเมืองเพื่อพัฒนาประเทศหรือสังคมในประเทศให้มีความเข้มแข็ง อยู่ดี กินดี แต่อย่างใด แต่เป็นการปฏิรูปในทางอำนาจเพื่อให้อำนาจนักการเมืองและพรรคการเมือง มีอำนาจในทาง
เผด็จการได้ นักการเมืองและพรรคการเมืองสามารถทำให้คนที่ทำผิดกฎหมายให้กลายเป็นวีรบุรุษได้ สามารถทำให้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายให้กลายเป็นอาชญากรได้ สามารถทำหน้าที่เป็นศาลชี้ผิดชี้ถูกได้ ตัดตอนการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนทางศาลได้ โดยขึ้นอยู่กับประชาชนคนใดเป็นพวกพ้องของนักการเมือง หรือไม่ใช่พวกพ้องของพรรคการเมือง หรือแม้แต่จะใช้อำนาจยกเลิกศาล หรือจะทำให้ศาลมาอยู่ในอำนาจของพรรคการเมือง พรรคการเมืองและนักการเมืองก็ย่อมกระทำได้ในทุกรูปแบบ เพราะการปฏิรูปการเมืองโดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งได้เริ่มต้นมาจากความคิดริเริ่มของสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมือง และมวลชนของพรรคการเมืองแล้ว การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ที่จะได้มาด้วยอำนาจรัฐสำหรับพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ให้มีอำนาจในการใช้อำนาจรัฐในทางรัฐสภาได้อย่างถาวรตลอดไปเท่านั้น
และเมื่อคณะรัฐมนตรีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองด้วยแล้ว ก็จะทราบเป็นอย่างดีด้วยว่า คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้มีการปฏิรูปการเมืองโดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ได้เลย เพราะการกระทำดังกล่าวของคณะรัฐมนตรีได้เกิดผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยและของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในหมวดที่ ๑ ถึงหมวดที่ ๔ และละเมิดต่อสิทธิของประชาชนที่ประชาชนจะต้องมีคณะรัฐมนตรีที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คือการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตามรัฐธรรมนูญในหมวดที่ ๕ ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใดที่จะให้อำนาจคณะรัฐมนตรีมีอำนาจปฏิรูปการเมือง โดยจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญและล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ ได้เลย คณะรัฐมนตรีจึงไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้ทำการปฏิรูปการเมือง โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ และล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ใช้ในปัจจุบันตามนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อสภาได้เลย
นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ว่าจะทำการปฏิรูปการเมืองโดยการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ และให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น เป็นนโยบายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญในหมวดที่ ๕ และรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๖ , ๑๗๘ มติของคณะรัฐมนตรีที่ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่…..) พ.ศ. ……..( ตามเอกสารที่แนบท้ายคำร้อง ) จึงเป็นมติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีจะมีนโยบายเพื่อจัดตั้งองค์กรตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญได้ จะต้องออกเป็นพระราชบัญญัติหาใช่ยกร่างเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญโดยตรงได้แต่อย่างใดไม่ และการจัดตั้งองค์กรของคณะรัฐมนตรีที่จะกระทำได้ในการใช้อำนาจบริหารนั้น รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้จัดตั้ง “ องค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ ” กับจัดตั้ง “ องค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๘๑ ( ๓ ) (๔ ) เท่านั้น การกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และ/หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖โดยทุจริตไปปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางอำนาจโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
ผู้ถูกร้องที่ ๑๒๗ และผู้ถูกร้องที่ ๒๗๖ ถึงผู้ถูกร้องที่ ๓๑๒ ไม่ได้ใช้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์และวิธีการของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙๑ แต่ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันกระทำการอันเป็นการทุจริต โดยฉ้อฉล เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยยกร่างเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๖ เป็น ๑๓๖ ( ๑๗ ) (๑๘ ) ซึ่งมีข้อความว่า “ ( ๑๗ ) การให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑/๑ ( ๒) ” และ “ ( ๑๘ ) การให้ความเห็นชอบญัตติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามมาตรา ๒๙๑/๑๖ ” และเพิ่มข้อความเป็น “ หมวด ๑๖ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ” ขึ้นทั้งหมวดโดยไม่ได้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามหลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๙๑ แต่อย่างใด การกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว เป็นการเพิ่มข้อความในรัฐธรรมนูญเพื่อให้อำนาจแก่ตนเองที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเป็นการแสวงหาอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้กับตนเองและพวก เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของผู้ร้องที่ ๑ ถึงที่ ๖ เพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบ โดยมีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีทางซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐
การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกร้องทั้งหมดได้ปรากฎผลในใบนับคะแนนเพื่อลงมติเพื่อรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...) พุทธศักราช ... ปรากฏตามเอกสารท้ายคำร้องหมาย เลข ๖
ผู้ถูกร้องดังกล่าวจะต้องบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงไว้ตามมาตรา ๑๗๖ และต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในหน้าที่ของตนรวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๘ คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดยมีนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกตามนโยบายข้อ ๑.๑๖ ว่า “ เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ” นั้น นโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภาซึ่งสมาชิกรัฐสภาเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย นโยบายของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงเป็นนโยบายที่ส่งสัญญาณต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมืองที่ร่วมคณะรัฐมนตรีที่จะร่วมมือกันเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ โดยจะตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ และให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นวางกลไกการใช้อำนาจรัฐให้เป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิรูปการเมืองเพื่อปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองขึ้นใหม่ให้มีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะปรากฏในเหตุผลร่างรัฐธรรมนูญฯที่คณะรัฐมนตรีได้เสนอต่อรัฐสภา จากนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาก็ดี จากเหตุผลในร่างรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐมนตรีเสนอต่อรัฐสภาก็ดี เป็นการกระทำที่มีเจตนาล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบันมาตั้งแต่ต้นเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองที่จะทำให้พรรคการเมืองมีเสถียรภาพเป็นโครงสร้างในระบอบการปกครองที่มีพรรคการเมืองเป็นศูนย์รวมอำนาจในการปกครองประเทศ อันเป็นการปกครองในระบอบการชิงอำนาจรัฐโดยการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการซื้อเสียง ขายเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง สัญญาจะให้เมื่อประชาชนเลือกตั้งเป็นรัฐบาลตามระบบประชานิยม อันมิใช่เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่จะกลายเป็นการปกครองในระบบคณาธิปไตย ( Origachy ) หรือเป็นระบบธนาธิปไตย (Plutocracy ) เพราะร่างรัฐธรรมนูญฯทั้งสามฉบับได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระแรกไปแล้ว การกระทำของผู้ถูกร้องจึงเป็นการกระทำที่ส่อให้เห็นเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นการกระทำเพื่อให้ได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐