นายกฯ แสดงวิสัยทัศน์ในพิธีเปิดการประชุม World Economic Forum on East Asia ปี 2555 ย้ำความสำคัญของการสร้างความเชื่อมโยงอาเซียน ย้ำชาวไทยต่างรู้สึกยินดีที่ได้รับเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพร่วมกับ WEF
วันนี้ (31 พ.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุม World Economic Forum on East Asia ปี 2555 ณ ห้อง Plenary Hall โรงแรมแชงกรี-ลา สรุปดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน World Economic Forum on East Asia ครั้งที่ 21 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งรัฐบาลและประชาชนชาวไทยต่างรู้สึกยินดีที่ประเทศของเราได้รับเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพร่วมกับ WEF ซึ่งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากเมือง Davos สู่กรุงเทพมหานคร ทำให้การหารือเต็มไปด้วยมิตรภาพและนำสู่ผลสำเร็จ
ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของความท้าทายและโอกาส ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นที่ยุโรป การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย การกลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตในภูมิภาค ฯลฯ ทั้งนี้ เราต่างเห็นแล้วว่าแม้แต่ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่สุดยังไม่มีภูมิคุ้มกันจากความท้าทายดังกล่าว ในขณะที่ประเทศเล็กๆ อย่างเรากลับจะใช้ความท้าทายนี้เป็นโอกาส คำถามก็คือ อะไรคือสิ่งที่เอเชียควรทำเพื่อปกป้องตัวเองจากความท้าทาย และใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
หลายประเทศในภูมิภาคนี้ได้ก้าวข้ามความท้าทายนี้แล้ว เห็นได้จากเศรษฐกิจในอาเซียนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาในยุโรป และหลายประเทศในอาเซียนยังสามารถก้าวข้ามความท้าทายภายในประเทศของตัวเอง ดังเช่นความก้าวหน้าของกระบวนการประชาธิปไตยในพม่า ซึ่งได้รับการชื่นชมจากประชาคมโลก
ความสำเร็จเหล่านี้ได้สร้างความเชื่อมั่นในภูมิภาคนี้ยิ่งขึ้น ความมั่นใจเหล่านี้เป็นผลจากความเข้มแข็งของประเทศสมาชิกและความสมดุลที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือ และบูรณาการ พร้อมกับการสร้างประชาคม เช่น อาเซียน ความร่วมมือและการบูรณาการแทนการแข่งขันและการปะทะจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และความสามารถในการปรับตัวของภูมิภาค ซึ่งกุญแจสำคัญต่อกระบวนการดังกล่าวคือ ความเชื่อมโยง ดังนั้น หัวข้อการประชุมในปีนี้ (Shaping the Region's Future through Connectivity) จึงมีความสำคัญยิ่งนัก อนาคตของเอเชียตะวันออก ความเชื่อมั่น และความสามารถในการปรับตัวของภูมิภาคขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเรื่องการสร้างความเชื่อมโยง
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอความคิดของไทยเกี่ยวกับความเชื่อมโยง ซึ่งในมุมมองของไทยมีองค์ประกอบ 3 ประการที่เราควรให้ความสำคัญ First is completing the physical connectivity network in our region ประการแรก การสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงในภูมิภาค นอกเหนือจากการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเส้นทางเหนือกับใต้ ตะวันตกและตะวันออก และเส้นทางสู่ประตูเศรษฐกิจทางใต้ ซึ่งต้องผ่านประเทศไทยทั้งสิ้นแล้วนั้น เรายังควรสนับสนุนความร่วมมือใหม่เพิ่มเติม อาทิ ท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งไทยกำลังร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพม่าในการพัฒนา หากลองจินตานาการ การขนส่งสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านพม่าและไทยในเวลา 1-2 วัน เมื่อมีความเชื่อมโยงเส้นถนนและทางรถไฟจากทวาย สู่กรุงเทพฯ และท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ภูมิภาคนี้จะมีสะพานบนดินที่เชื่อมโยงระหว่างทะเลอันดามันกับอ่าวไทย หลังจากความมุ่งมั่น 17 ปีในการสร้างถนน ยังมีอีกโครงการหนึ่งที่สำคัญคือการสร้างเครือข่ายรถไฟในภูมิภาคแม่โขง เริ่มจากโครงการ SHRL (Singapore Kunming Railway Link) ที่เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อระหว่างตะวันออกเฉียงเหนือของไทยสู่ลาวและทางใต้ของจีน
Second is reinforcing non-physical aspects of connectivity ประการที่ 2 การสนับสนุนองค์ประกอบความเชื่อมโยงอื่น นอกเหนือจากการลงทุนในสาธารณูปโภค เช่น ถนนและรางรถไฟแล้ว ยังเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมั่นใจว่า สินค้าและคนสามารถเดินทางข้ามพรมแดนอย่างเสรี ดังนั้น เราควรจะสนับสนุนกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เราจึงมีความจำเป็นที่จะสรุปความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามแดนของประเทศสมาชิกในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายตามแนวชายแดน อันจะปรับเส้นทางการขนส่งให้เป็นเครือข่ายลอจิสติกส์และประตูทางเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องมีการป้องกันอย่างมีประสิทธิผลเพื่อป้องกันภูมิภาคนี้จากปัญหาการข้ามแดนและปัญหาจากการนำความเชื่อมโยงไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อกิจกรรมที่ผิดกฎหมายข้ามแดน ซึ่งรวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติ การค้า อาวุธที่มีอานุภาพทำลายร้างสูง และโรคระบาด
Third is developing connectivity beyond ASEAN and East Asia ประการที่ 3 การพัฒนาความเชื่อมโยง นอกเหนืออาเซียน และเอเชียตะวันออก การบูรณาการจะมาสู่เอเชียตะวันออกไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้น เราควรจะเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกในก้าวต่อไป ปัจจุบันมีความเจริญเติบโตในการค้าและเครือข่ายการลงทุนระหว่างเอเชียตะวันออกกับประเทศอื่น ซึ่งรวมถึงเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และประเทศในทวีปอเมริกา ในอีกระยะเวลาไม่นาน เราจำเป็นที่จะต้องพัฒนาความเชื่อมโยงนอกเหนือจากเอเชียตะวันออก และในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีกรอบความร่วมมือที่มีประเทศนอกเหนือจากเอเชียตะวันออกเข้ามาศึกษาแนวทางความเชื่อมโยงกับเรา เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องให้มั่นใจว่ามีพลวัตเกิดขึ้นกับกรอบความร่วมมือดังกล่าว
เพื่อให้มั่นใจว่ามีการสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาคและผลักดันการสร้างประชาคมอาเซียนและเอเชียตะวันออก เราจำเป็นที่จะต้องทำให้พื้นฐานของบ้านเราแข็งแรงยิ่งกว่านี้ ภายหลังความไม่เสถียรภาพของการเมืองในปีที่ผ่านมาและภาวะน้ำท่วมในปีที่แล้ว นายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ชาวไทยได้แสดงให้เห็นว่าสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลปัจจุบันและชาวไทยพร้อมที่จะก้าวไปสู่ห้วงเวลาใหม่ของการพัฒนาและการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคในอีก 5 ปีข้างหน้า
โดยเฉพาะแผนที่เราได้วางไว้เพื่อพัฒนาโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง ไปยังเมืองหลักของประเทศไทย เช่น เชียงใหม่ รวมถึงโครงการอื่นๆ เช่น การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 72 ล้านคนต่อปี เราก็ยังสร้างโครงข่ายการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเอื้ออำนวยเศรษฐกิจไทยและชาวไทย แต่สำคัญกว่านั้น จะช่วยสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาค
นอกเหนือจากโครงการสาธารณูปโภคแล้วยังมีการลงทุนกว่า 11,400 ล้านเหรียญสหรัฐในการบริหารน้ำและป้องกันน้ำท่วม เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตใหญ่ เราให้ความสำคัญในเรื่องอาหารและโครงการเกษตรกรรม ซึ่งเราเป็น 1 ใน 5 ผู้ส่งออกอาหารโลก ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอโครงการครัวไทยสู่โลก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการส่งออกอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย รวมถึงสินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังลงทุนและสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมที่ไทยเป็นผู้ผลิตหลัก เช่น ยานยนต์, ฮาร์ดดิสก์, ไดรฟ์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมบริการ เช่น บริการทางการแพทย์ อุตสาหกรรมทางด้านคิดสร้างสรรค์ (creative industry) การสื่อสารโทรคมนาคม ด้านพลังงานสะอาด บริการด้านการเงิน และการประกันภัย
ส่วนในด้านทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสตรี เพื่อช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ เช่น กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (Women Development Fund) นอกจากนี้ นโยบายการศึกษา อาทิ โครงการ 1 แท็บเล็ต 1 นักเรียน จะช่วยเตรียมความพร้อมแก่เด็กในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าเฉกเช่นในปัจจุบัน และโครงการบริการสุขภาพดีถ้วนหน้า (Universal health care) ยังจะช่วยให้ทรัพยากรมนุษย์ของไทยได้รับการป้องกันที่ดี
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ประเทศไทยไม่ใช่แค่ประเทศหลักในการเชื่อมโยงภูมิภาคนี้เข้าด้วยกัน เพียงเพราะปัจจัยทางด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญอีกด้วย เนื่องจากไทยมีแรงงานที่มีฝีมือและทักษะที่ดีเยี่ยม มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และมีนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตและเป็นมิตร การมุ่งส่งเสริมภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่า จากฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและมีความหลากหลายมากขึ้น จากการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานแข็งแรงและสามารถทนต่อภัยพิบัติ และมีความทันสมัย ผ่านการลงทุนและการสนับสนุนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศของไทย
นอกจากนี้ หากการเชื่อมโยงระดับภูมิภาคช่วยให้ฐานการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยเชื่อมต่อและใกล้ชิดกับประเทศอื่นในภูมิภาคแล้ว ยิ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยดำเนินการในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตสำหรับเศรษฐกิจโลก โดยประเทศไทยจะยังคงดำเนินนโยบายในการให้การสนับสนุน พร้อมทั้งพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อเชื่อมโยงกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกผ่าน ASEAN-led FTAs และ APEC
ทั้งนี้ ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาคและทั่วโลก ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ด้วยภูมิปัญญาและความสามารถของทุกคน การประชุมในครั้งนี้จะช่วยให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันและเกิดการเชื่อมโยงกันมากขึ้นในเอเชียตะวันออก และมั่นใจว่าการประชุมในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี