xs
xsm
sm
md
lg

มติกมธ.35 คณะลงมติเสียงข้างมากลากไป 22 ต่อ 1 ปรองดองเทียมไม่เกี่ยวการเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ที่ประชุมกรรมาธิการสามัญ 35 คณะลงมติใช้เสียงข้างมากลากไป ฟันธง 22 ต่อ 1 ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองไม่เกี่ยวกับการเงิน “สนธิ บังเละ” ถูก ปชป.มัดปาก ยันไม่คืนเงิน 4.6 หมื่นล้าน “ทักษิณ”

วันนี้ (31 พ.ค.) นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เรียกประธานคณะกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ มาหารือเพื่อหาข้อยุติว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองทั้ง 4 ฉบับ เกี่ยวข้องกับการเงินหรือไม่ โดยก่อนการประชุม นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. และนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือยื่นต่อประธานเพื่อขอเข้าร่วมรับฟังการหารือครั้งนี้ เพราะเป็นผู้สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการเงิน นอกจากนี้ ยังมีการเชิญ ส.ส.ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ ได้แก่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสย เกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายนิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่การหารือ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้คัดค้านไม่ให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์เข้าร่วมชี้แจง เพราะเกรงว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญระบุว่าให้ประธาน กมธ. 35 คณะ และประธานสภา เป็นผู้วินิจฉัยเท่านั้น บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิ ขณะที่ฝ่ายค้านขอความอะลุ่มอล่วย แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จนประธานอนุโลมให้ร่วมรับฟัง แต่หากสงสัยอะไร ให้ส่งคำถามผ่านทางประธาน กมธ.ฝั่งประชาธิปัตย์ จากนั้นนายสมศักดิ์ได้เริ่มเข้าสู่วาระการประชุม แต่นายธนาได้ขอชี้แจงและถอนตัวออกจากห้องประชุม ทำให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ตะโกนต่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนจะหาช่องทางให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมพิจารณาแล้ว แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ขอให้ผู้ที่เสนอร่างทั้ง 4 คน รวมทั้งสื่อมวลชน และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม

ต่อมา เวลา 14.00 น. ที่ประชุมได้มีมติเรียกให้ผู้เสนอร่าง กม.ทั้ง 4 ฉบับ และนางบุษกร อัมพรประภา ผู้อำนวยการสำนักการประชุม ซึ่งเป็นผู้พิจารณาการบรรจุกฎหมายเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม มาชี้แจงต่อที่ประชุมพร้อมเปิดให้สื่อมวลชนเข้าฟัง โดยเริ่มต้น ส.ส.พรรคประชาธิปตย์ อาทิ นายเจือ ราชสีห์ ประธาน กมธ.คมนาคม นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธาน กมธ.ศึกษา ได้พยายามซักถาม พล.อ.สนธิ ว่าหากมีการยกเลิกคดีที่สืบเนื่องจาก คตส.แล้ว จะมีการเรียกคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทได้หรือไม่ รวมทั้งหากยกคดีอาญาแล้วจะเปิดโอกาสให้ฟ้องคดีแพ่งได้หรือไม่ อีกทั้งสอบถามว่ากรณีใดบ้างที่จะเข้าข่ายได้ยกเว้นความผิดบ้าง นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ฝ่ายกฎหมายของสภาว่า ทำไมถึงพิจารณาว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

โดยผู้เสนอร่างทั้ง 4 คน ได้ชี้แจงไปทิศทางเดียวกันว่า เจตนารมณ์ของการออกร่าง พ.ร.บ. ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน ซึ่งนายสามารถเป็นผู้ชี้แจงหลักว่า ต้องการจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน และต้องการยกเลิกผลจากการดำเนินการขององค์กรนอกรัฐธรรมนูญ โดยในมาตรา 6 ระบุว่า หากใครยังติดใจ สามารถนำเรื่องไปฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ส่วนมาตรา 7 บุคคลที่ได้รับความเสียหาย สามารถใช้สิทธิทางแพ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่กระทำผิดทางอาญา ไม่ใช่การเรียกเงินจากรัฐ ยกเว้นกรณีหาผู้ผิดไม่ได้

ขณะที่ พล.อ.สนธิกล่าวชี้แจงเพียงแต่ว่ามีความเห็นเช่นเดียวกับนายสามารถ ส่วน นางบุษกร ชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เพราะ 1.ในสาระของกฎหมายไม่มีถ้อยคำใดเกี่ยวข้องกับการคืนเงิน จ่ายเงินใดๆ หรือการจัดสรรงบประมาณ 2. เงินที่ยึดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำเข้าเป็นเงินแผ่นดินแล้ว หากจะจ่ายเงินออกมาตัองออกเป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 3.สิทธิฟ้องทางแพ่งเป็นการให้สิทธิบุคคลต่อบุคคล ซึ่งแม้จะไม่มีกฎหมายนี้ก็สามารถฟ้องร้องได้อยู่แล้ว และ 4.ส่วนการยกเว้นโทษ ทางคดีอาญาแล้วจะมีการฟ้องเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ศาลต้องตัดสิน ซึ่งไม่ใช่เป็นการจ่ายเงินทันทีตามร่างกฎหมายนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการประชุมเริ่มปั่นป่วนขึ้น เมื่อ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ได้พยายามสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมพุ่งเป้าไปที่การคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้ พล.อ.สนธิออกมายืนยันให้ชัดเจนว่าจะไม่มีการคืนเงินดังกล่าว ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามตัดบทเสนอให้ปิดอภิปราย เนื่องจากเห็นว่าการพิจารณาในชั้นนี้เป็นเพียงแค่พิจารณาในประเด็นว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเงินหรือไม่ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ให้ไปพิจารณาในชั้นแปรญัตติ

จนกระทั่งนายณัฐวุฒิได้ท้าว่าถ้าพวกตนบอกว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน พวกท่านจะจบหรือไม่ ซึ่งนายประกอบยืนยันว่า จบ แต่ พล.อ.สนธิต้องระบุว่า “ไม่มีการคืนเงินให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณใช่หรือไม่” พล.อ.สนธิได้กระซิบปรึกษากับนายสามารถ ก่อนตอบว่า “ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่เกี่ยวกับการคืนเงิน” จึงทำให้นายประกอบถามย้ำกลับไปว่า “หมายถึงทักษิณใช่หรือไม่” ซึ่ง พล.อ.สนธิตอบกลับสั้นๆว่า “ใช่ครับ” จากนั้นผู้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวรวมทั้ง พล.อ.สนธิได้ลุกออกจากห้องประชุมทันที จากนั้นนายสมศักดิ์ได้ขอมติที่ประชุมเพื่อตัดสินว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเงินหรือไม่ ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม เหลือเพียงแค่นายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เพียงคนเดียว ทำให้มติที่ประชุมระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.การเงิน ด้วยคะแนน 22 ต่อ 1 คะแนน จากนั้นได้ปิดประชุมเมื่อเวลา 16.20 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัดส่วนคณะกรรมาธิการ 35 คน แบ่งเป็น พรรครัฐบาล 22 คน พรรคฝ่ายค้าน 13 คน

บรรยากาศหลังปิดการประชุม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนมากได้กรูล้อมรอบเป็นเกราะให้นายสมศักดิ์ กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังที่จอดรถ ที่ตึกวุฒิสภา โดยตลอดเวลา นายสมศักดิ์ คุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีเจ้าหน้าที่สภาคนหนึ่งนำพระมามอบให้นายสมศักดิ์ โดยผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นายสมศักดิ์ไม่ตอบพร้อมคุยโทรศัพท์ต่อ ด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนขึ้นรถเบนซ์สีดำ หมายเลขทะเบียน ฆจ 4097 ขับออกไปนอกสภาด้วยความรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่ได้กันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ากีดขวาง และขับออกไปในเวลา 17.15 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น