“อ.พิชาย” ซัดอดีตหัวหน้า คมช. รัฐประหารลวกๆ ขาดเจตจำนงทางการเมือง ชนวนเสื้อแดงก่อตัวเผาบ้านเผาเมือง สถาบันถูกคุกคาม กระบวนการยุติธรรมถูกทำลายยับเยิน แถมยังกำลังทำร้ายประเทศซ้ำซากด้วยการเป็นหัวหอกเสนอนิรโทษกรรม ปูทางคืนอำนาจและสถานภาพเดิมให้ “ทักษิณ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 27พ.ค. เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ในหัวข้อ “พลเอกสนธิ เอกบุรุษผู้ทำลาย 3 อำนาจอธิปไตย แต่ปริศนาคือ ทำเองหรือตกเป็นเครื่องมือ” ดังนี้..
พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ขจัดรัฐบาลทักษิณพ้นจากอำนาจในปี 2549. การรัฐประหารครั้งนั้นนับได้ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งแรกของพลเอกสนธิ เพราะ
1. เป็นการขัดขวางพัฒนาการทางการเมืองแบบประชาธิปไตย โดยที่ตนเองก็ปราศจากเจตจำนงทางการเมืองใดๆในการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ดีขึ้น จึงเป็นการรัฐประหารแบบลวกๆ ดิบๆ สุกๆ หรือสุกเอาเผากิน เหตุผลที่อ้างในการทำรัฐประหาร ไม่มีเรืิ่่องใดเลยที่ได้รับการดำเนินการต่อเนื่องและจริงจัง
2. เป็นต้นเหตุในการสร้างขบวนการทางการเมืองแบบอนาอุปถัมภ์ธิปไตยขึ้นมาของกลุ่มคนเสื้อแดง และทำให้บ้านเมืองต้องประสบกับความวุ่นวายสับสน เกิดจลาจลนองเลือด เผาบ้านเผาเมืองหลายครั้งหลายหน เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องตายพิการและบาดเจ็บ ทั้งยังทำให้สถาบันหลักของบ้านเมืองถูกคุกคามอย่างหนักหน่วง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งเกิดความเสียหายในกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่ผ่านมา พล.อ.สนธิ เป็นผู้มีส่วนร่วมที่สำคัญมากผู้หนึ่งในเวทีประวัติศาสตร์ไทย
แต่ดูเหมือน พล.อ.สนธิ จะยังไม่ยอมหยุด และกำลังเดินเกมทางการเมืองที่นำไปสู่การสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศไทยอีกรอบหนึ่ง อันเป็นความผิดมหันต์ซ้ำซาก นั่นคือ การเป็นหัวหอกในการเสนอนิรโทษกรรมให้ทักษิณ ชินวัตร คนที่ พล.อ.สนธิ รัฐประหารนั่นแหละ
พล.อ.สนธิ อาจเข้าใจไปเองอย่างผิดๆและแก้ตัวกับสังคมว่า การทำเช่นนั้นเป็นการสร้างการปรองดองในสังคม
แต่คนเขามองเห็นไส้พุงของ พล.อ.สนธิ ว่ามีอยู่กี่ขด เพราะแท้จริงแล้ว พล.อ.สนธิเสนอเรื่องปรองดองนี้เป็นการทำเพื่่อไถ่บาปของตนเองที่ได้กระชากทักษิณลงจากอำนาจ พูดง่ายๆ ก็คือ ทำเพื่อให้ทักษิณกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการรัฐประหาร หรือคืนอำนาจและสถานภาพเดิมให้ทักษิณนั่นเอง
แต่ พล.อ.สนธิ คงไม่รู้ หรืออาจจะรู้ก็ได้หากยังมีสติปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง(แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจนัก) ว่า การกระทำของตนเอง เป็นความผิดซ้ำสอง ที่จะสร้างความเสียหายแก่สังคมไทยยิ่งกว่าการรัฐประหารในครั้งแรกเสียอีก เพราะการทำครั้งนี้เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างยับเยิน
บทบาทของ พล.อ.สนธิ จึงเป็นผู้ทำลายอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติในปี 2549 และในปี 2555 เขาจะเป็นผู้ทำลายอำนาจอธิปไตยที่สาม คือ อำนาจตุลาการ
เขาจึงเป็นบุรุษไทยผู้เดียวที่ ทำลายอำนาจอธิปไตยทั้งสามลงไปอย่างครบครัน ซึ่งไม่เคยมีผู้นำทางการเมืองคนใดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ทำได้แบบเขามาก่อน
น่าทึ่งจริงๆ สำหรับคนผู้หนึ่งที่มีอำนาจในการทำลายล้างอย่างนี้ และน่าทึ่งมากๆหากการกระทำของเขา ไม่ได้เกิดจากเจตจำนงของตนเอง แต่เกิดจากการบงการของผู้อื่น อย่างในปี 2549 บางครั้ง พล.อ.สนธิก็พูดเหมือนเป็นนัยๆ ว่า ตนเองไม่อยากรัฐประหาร แต่แม้ตายก็บอกไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ในอนาคต พล.อ.สนธิอาจพูดว่า แท้จริงแล้วตนเองไม่อยากเสนอกฎหมายปรองดอง แต่แม้ตายก็บอกไม่ได้ว่าทำไมต้องเสนอกฎหมายนี้
แต่ไม่ต้องบอกหรอกครับ คนที่เขาติดตามสถานการณ์บ้านเมือง เขามองออกว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง พล.อ.สนธิคือใคร
แต่ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร พล.อ.สนธิ ย่อมไม่อาจปัดความรับผิดชอบในการสร้างความเสียหายแก่สังคมไทยในช่วงที่ผ่านม่หลายปีนี้ได้ รวมทั้งความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตด้วย”