xs
xsm
sm
md
lg

“อภิชาต” ชี้ ปชป.รับเงินบริจาคอีสต์วอเตอร์ ต่างจากทีพีไอบริจาคช่วยเหลือน้ำท่วม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิชาต สุขัคคานนท์
ปธ.กกต.ชี้คำร้อง ปชป.รับเงินบริจาคอีสต์วอเตอร์ ยังอยู่ในชั้น คกก.ไต่สวน ก่อนสรุปขอมติที่ประชุม กกต. ไม่สามารถเทียบกรณีพรรคการเมืองเป็นคนกลางรับบริจาคเงินช่วยน้ำท่วมไม่ผิด ด้าน “สดศรี” ยันเป็นอำนาจกกต.ต้องวินิจฉัยก่อนว่า เป็นการรับบริจาคไม่ชอบ มีเหตุให้ต้องยุบพรรคหรือไม่ ระบุ คกก.ไต่สวนเตรียมเรียกผู้บริหารบริษัทฯแจง พร้อมรับรายงานงบดุล ปชป.ที่แจ้ง กกต.ปี 53-54ไม่พบมีรายรับจากอีสต์วอเตอร์ เชื่อคดีง่ายกว่ารับเงินทีพีไอ 258 ล้าน

วันนี้ (24 พ.ค.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงคำร้องของนายเรืองไร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ที่ขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์กรณีการรับบริจาคเงิน 1 ล้านบาทจากบริษัท อีสต์วอเตอร์ จำกัด (มหาชน) ว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือน ม.ค. 55 และได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนแล้วขอให้รอผลการสอบสวนก่อน แต่ที่มีการพูดกันว่า4 เดือนแล้วทำไมเรื่องไม่คืบนั้น ต้องชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวมีกระบวนการ ขั้นตอน เบื้องต้นเรื่องนี้ไปอยู่ที่กิจการพรรคการเมืองที่นางสดศรี สัตยธรรม ดูแลอยู่ จากนั้นจึงมาถึงตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง และก็ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งการพิจารณาของคณะกรรมการไต่สวนไม่มีกำหนดระยะเวลาว่าต้องเสร็จเมื่อได้ แต่ก็จะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ยืนยันว่าจะไม่ช้า ถ้าหากเรื่องเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย เช่น หน่วยงานของรัฐเอาเงินมาให้พรรคการเมือง แบบนี้ผิดกฎหมายแน่ แต่กรณีบริษัทอีสต์วอเตอร์ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่อยู่ไปบริจาคจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบก่อน จึงยังให้ความเห็นอะไรไม่ได้

“เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หน้าที่ของนายทะเบียนฯ เพียงคนเดียว ที่จะต้องมีความเห็นอาจต้องเข้าที่ประชุม กกต.ลงมติก็ได้ ขึ้นอยู่กับกฎหมายไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะมาอยู่ที่นายทะเบียนพรรคการเมืองทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องของการยุบพรรคก็ตาม แต่ทั้งนี้ต้องรอความเห็นจากคณะกรรมการไต่สวนที่จะสรุปออกมา ว่าจะต้องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นในเรื่องนี้ก่อนเข้าที่ประชุม กกต.หรือไม่ ขอให้อดใจรออีกนิดไม่ช้า”

นายอภิชาตกล่าวด้วยว่า กรณีนี้คงไม่สามารถเทียบเคียงกับกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหารับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งหากการบริจาคเงินในครั้งนี้เป็นการบริจาคผ่านพรรคการเมืองเพื่อนำไปช่วยเหลือน้ำท่วม ส่วนตัวในฐานะ กกต.คนหนึ่งมองว่าไม่น่าจะผิดอะไร อย่างที่เคยมีมติกันในที่ประชุม กกต.เมื่อคราวที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ กกต.ได้เคยมีมติว่า การบริจาคเงินผ่าน ส.ส.เพื่อบริจาคให้ผู้ประสบภัยก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่หากเป็นการรับเข้าพรรคเพื่อเป็นการบำรุงพรรคการเมืองนั้นไม่ได้

“ตอนน้ำท่วมเราก็จะเห็น ส.ส.ลงพื้นที่ แล้วมีคนโน่นคนนี้มาบริจาคผ่าน ส.ส. ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ที่ไปรับบริจาคมาจากทั่วประเทศมาช่วยเหลือประชาชนในภาคกลาง ก็ถือว่าเป็นเงินผ่านคนกลางทั้งนั้น ไม่ต้องลงบัญชีพรรค ทุกพรรคก็ได้ประโยชน์เหมือนกันไม่ใช่เพียงพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ประโยชน์ ที่พูดไม่ได้มาแก้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ แต่ว่าพรรคไหนก็ตามไปรับเงินมาเพื่อนำไปส่งต่อให้กับประชาชนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิด”

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ในการประชุม กกต.ช่วงเช้าของวันนี้ (24 พ.ค.) ก็ได้มีการพูดคุยถึงคำร้องนี้ว่าไม่ควรเป็นอำนาจพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะยังไม่ชัดเจนว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นการรับบริจาคเงินที่ผิดกฎหมายมีเหตุต้องยุบพรรค ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการไต่สวนได้ข้อสรุปก็จะมีการนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา หากที่ประชุม กกต.มีมติเห็นว่าเป็นเรื่องของการรับบริจาคเงินผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคจึงค่อยเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนฯ ไปดำเนินการ แต่หากเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องการไม่รายงานรายรับรายจ่ายตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดไว้ กกต.ก็จะเป็นอำนาจของกกต.พิจารณาเพื่อนำไปสู่การลงลงมติได้

นางสดศรีกล่าวด้วยว่า หากพิจารณาตามคำร้องของนายเรืองไกร จะเป็นกรณีที่ว่าการรับบริจาคเงิน 1 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์นี้ เป็นการรับบริจาคแฝง ไม่ใช่การรับบริจาคเพื่อไปช่วยเหลือน้ำท่วม ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการไต่สวนมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า บริษัทอีสต์วอเตอร์ เป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นใหญ่ 1 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ต้องห้ามการบริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองตามมาตรา 71 พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ และเงิน 1 ล้านบาทนั้นถือเป็นเงินบริจาคให้กับพรรคการเมืองหรือไม่ รวมถึงถ้าบริษัทอีสต์วอเตอร์ประสงค์ที่จะบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เหตุใดถึงไม่ไปบริจาคเข้าบัญชีของสำนักนายกรัฐมนตรี เหตุใดจึงต้องมาฝากผ่านบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ และตามข้อบังคับมีการระบุหรือไม่ว่าเงินบริจาคสามารถนำมาพักไว้ในบัญชีของพรรคได้ รวมถึงผู้บริจาคทั้ง 191 รายที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันหรือไม่

“เรื่องนี้ต้องดูเจตนารมณ์ของผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้มีเจตนาที่จะส่งพรรค หรือมีเจตนาที่จะส่งผ่านพรรค คณะกรรมการไต่สวนจะต้องชัดเจนเสียก่อน จึงจะพูดได้ว่าเป็นเงินบริจาคหรือไม่ ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการไต่สวนกำลังเรียกเอกสารจากทั้งบริษัทและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงมีหนังสือเชิญู ผู้บริหารบริษัทอีสต์วอเตอร์มาให้ถ้อยคำ เชื่อว่าการพิจารณาคงไม่นาน เพราะข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนคดีพรรคประชาธิปัตย์ รับเงินบริจาค 258 ล้านจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)” นางสดศรีกล่าว

เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นคนกลางในการรับเงินและส่งต่อ เงินที่ได้รับบริจาคไปที่สำนักนายกฯ โดยมีช่วงที่เงินพักอยู่ในบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ 1 เดือน ดอกผลที่ได้รับถือเป็นเงินบริจาคหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ต้องดูว่าเงินที่พรรคส่งให้กับสำนักนายกฯนั้นเป็นการส่งทั้งต้นและดอกหรือไม่ หากส่งแต่ต้นไม่ส่งดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถือเป็นเงินบริจาคหรือเป็นรายได้อื่น ซึ่งต้องมีการมาตีความกัน เพราะเป็นเรื่องของความเห็นที่อาจจะแตกต่างกัน ขนาดตุลาการยังเห็นไม่ตรงกัน แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นตามกฎหมายบัญญัติว่า ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค รายรับ รายจ่าย พรรคมีหน้าที่ที่จะต้องจัดทำเป็นบัญชีงบดุลแต่ละปียื่นต่อ กกต.ว่ามีรายรับเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ แม้แต่บัญชีเงินฝากก็จะต้องรายงานว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเท่าไหร่ มีการเบิกถอนไปใช้ในเรื่องใด ซึ่งจากรายงานบัญชีงบดุลปี 53-54 ที่แจ้งต่อ กกต. ไม่พบว่าพรรคมีรายรับจากบริษัทอีสต์วอตอร์

“กกต.เป็นผู้กำกับกฎหมาย ดูแลการทำงานของพรรคการเมือง ฉะนั้น อะไรที่เกิดขึ้นกับพรรคถ้าไม่ใช่เรื่องลับก็คงรายงานให้ กกต.ทราบ กรณีนี้พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าไม่ได้เป็นรายรับของพรรค เพราะพรรคเป็นคนกลางที่จะนำเงินที่ได้รับบริจาคส่งให้กับสำนักนายกฯ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะต้องบอกเหตุผลให้ได้ว่าแล้วทำไมเงินจึงต้องมาพักไว้ในบัญชีของพรรค และข้อบังคับของพรรคระบุไว้ให้สามารถทำได้หรือไม่”
กำลังโหลดความคิดเห็น