ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากวันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายจตุพร พรหมพันธุ์ พ้นจากสมาชิกภาพพรรคเพื่อไทย เพราะนายจตุพรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาล กรณีนายจตุพรว่า คณะตุลาการพิจารณาตามหลักกฎหมายไทย ไม่ได้เอาหลักของกฎหมายบ้านเมืองอื่นมาใช้ กระบวนการพิจารณาถูกต้อง ตุลาการทุกคนมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ไม่ได้ใช้ความรู้สึก หรือจะคิดไปเองไม่ได้ กว่าจะออกมาเป็นคำวินิจฉัยได้ค้นข้อกฎหมายมาดูและศึกษา ตุลาการทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครสั่งได้ ไม่มีการตั้งธงไว้ก่อน
นายวสันต์ กล่าวว่า เมื่อไม่ได้ไปใช้สิทธิก็ถือว่าขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้งก็ยังไม่ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพราะถูกควบคุมอยู่ การที่พรรคจะส่งลงสมัครก็ทำได้ กกต.รับสมัครได้ แต่เมื่อถึงวันเลือกตั้งไม่ได้ออกไปเลือกตั้งจึงเป็นเหตุให้ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค กฎหมายเขียนไว้ชัด เฉพาะวันเลือกตั้งเขากลายเป็นผู้ต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็เป็นสมาชิกพรรคไม่ได้ ศาลไม่ได้สองมาตรฐานอย่างแน่นอน เรื่องนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจึงถือเป็นบรรทัดฐานกับการสมัครรับเลือกตั้งครั้งต่อไปของ กกต.คนที่บอกว่าสองมาตรฐานรู้ความหมายของคำว่า สองมาตรฐานหรือไม่ อย่าหลับหูหลับตาพูด สองมาตรฐานต้องเป็นกรณีเหมือนกันเป๊ะ แล้วตัดสินไปคนละทาง
กรณีที่มีบางพรรคจะนำผลของคำวินิจฉัยกรณีนี้ไปร้อง กกต.ให้ยุบพรรคเพื่อไทย นายวสันต์กล่าวว่า ขอให้ศึกษาอ่านคำวินิจฉัยให้ดีเสียก่อน อย่าหลับหูหลับตาพูด ให้ดูคำวินิจฉัย ดูเหตุผล คำวินิจฉัยเขียนไว้ชัดว่ากระบวนการรับสมัคร และวันเลือกตั้งคนละเรื่องกันซึ่งคำวินิจฉัยก็เป็นไปตามคำร้องของ กกต.ตอนสมัครเขามีสิทธิ แต่เมื่อถึงวันเลือกตั้งตกเป็นผู้ต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิ การพ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรคก็เกิดขึ้นในวันเลือกตั้ง แต่กระบวนการก่อนหน้านั้นถูกต้อง อ่านคำวินิจฉัยให้ละเอียด อย่าเพิ่งทึกทัก
คำทักท้วงของประธานศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวคงจะเกิดจากระยะหลังนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมักจะได้รับคำร้องในเรื่องหยุมๆ หยิมๆ พรรคโน้นกล่าวหาพรรคนี้ พรรคนี้ร้องให้พิจารณาพรรคโน้นอยู่เป็นประจำ เป็นต้นว่า ร้องให้ศาลพิจารณาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากสมาชิกภาพความเป็นผู้แทนราษฎร เพราะไปแจกของช่วยน้ำท่วมที่พิษณุโลก ข้าวของที่แจกนั้นก็เป็นถุงยังชีพของกระทรวงๆ หนึ่งของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ฝ่ายประชาธิปัตย์ก็เอาคืนบ้าง ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพฤติกรรมของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าวของบริจาค เป็นต้น
กรณีที่จะมีการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยเนื่องจากเข้าใจว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายจตุพรพ้นสมาชิกภาพผู้แทนราษฎร เนื่องจากขาดการเป็นสมาชิกพรรค ก็ทึกทักทันทีว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่นายจตุพรสังกัดอยู่ทำผิดกฎหมาย ส่งคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือรู้อยู่แล้วว่านายจตุพรไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก็ยังส่ง เพราะฉะนั้นก็จะต้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย
ศาลท่านจึงบอกว่าให้อ่านคำวินิจฉัยของศาลให้ดีๆ ให้ละเอียด ให้เข้าใจ
การต่อสู้ทางการเมืองของนักการเมือง ของพรรคการเมืองไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอาศัยทริค อาศัยชั้นเชิงของข้อกฎหมาย เป็นต้น ฟ้องผิด, หมดอายุความ, มาต่อสู้กัน หากสมควรที่จะต่อสู้กันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ เพราะการจ้องเอาชนะกันด้วยเรื่องหยุมหยิม เอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาห้ำหั่นกันในที่สุดประชาชนก็จะเกิดความเบื่อหน่วยเอือมระอาต่อนักการเมือง พรรคการเมือง อย่างที่รู้สึกเบื่อหน่ายเอือมระอากันอยู่ทุกวันนี้
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการล้มรัฐธรรมนูญอย่างหน้าด้านๆ ของเสียงส่วนใหญ่ในสภาคือ เสียงของพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ที่เป็นเสียงข้างมากในสภาที่กำลังทำกันอยู่ขณะ นี่คือการล้มล้างรัฐธรรมนูญ นี่คือการยึดอำนาจด้วยเสียงข้างมากในสภา เพราะนี่ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญ หากเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ
ฝ่ายรัฐบาลขณะนี้ไม่ได้ใช้ทหาร ใช้ปืน ใช้รถถัง หากทำด้วยวิธีการอันนุ่มนวล แต่หน้าด้าน โดยอาศัยเสียงข้างมากเอาชนะฝ่ายค้านเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทนฉบับปี 2550
นี่ต่างหากที่พรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะต้องต่อสู้ในส่วนที่ 13 ที่ว่าด้วยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร และเขียนเหมือนจะรู้ล่วงหน้าด้วยว่า จะต้องมีคนหน้าด้านฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทิ้งแล้วร่างขึ้นใหม่ จึงได้เขียนแนวทางป้องกัน หรือทางที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้เอาไว้ในมาตราที่ 68 และมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550
นี่ต่างหากที่พรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะเดินหน้าพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อย่าให้ไอ้พวกหน้าด้านมันฉีกรัฐธรรมนูญได้
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาล กรณีนายจตุพรว่า คณะตุลาการพิจารณาตามหลักกฎหมายไทย ไม่ได้เอาหลักของกฎหมายบ้านเมืองอื่นมาใช้ กระบวนการพิจารณาถูกต้อง ตุลาการทุกคนมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ไม่ได้ใช้ความรู้สึก หรือจะคิดไปเองไม่ได้ กว่าจะออกมาเป็นคำวินิจฉัยได้ค้นข้อกฎหมายมาดูและศึกษา ตุลาการทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครสั่งได้ ไม่มีการตั้งธงไว้ก่อน
นายวสันต์ กล่าวว่า เมื่อไม่ได้ไปใช้สิทธิก็ถือว่าขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้งก็ยังไม่ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพราะถูกควบคุมอยู่ การที่พรรคจะส่งลงสมัครก็ทำได้ กกต.รับสมัครได้ แต่เมื่อถึงวันเลือกตั้งไม่ได้ออกไปเลือกตั้งจึงเป็นเหตุให้ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค กฎหมายเขียนไว้ชัด เฉพาะวันเลือกตั้งเขากลายเป็นผู้ต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็เป็นสมาชิกพรรคไม่ได้ ศาลไม่ได้สองมาตรฐานอย่างแน่นอน เรื่องนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจึงถือเป็นบรรทัดฐานกับการสมัครรับเลือกตั้งครั้งต่อไปของ กกต.คนที่บอกว่าสองมาตรฐานรู้ความหมายของคำว่า สองมาตรฐานหรือไม่ อย่าหลับหูหลับตาพูด สองมาตรฐานต้องเป็นกรณีเหมือนกันเป๊ะ แล้วตัดสินไปคนละทาง
กรณีที่มีบางพรรคจะนำผลของคำวินิจฉัยกรณีนี้ไปร้อง กกต.ให้ยุบพรรคเพื่อไทย นายวสันต์กล่าวว่า ขอให้ศึกษาอ่านคำวินิจฉัยให้ดีเสียก่อน อย่าหลับหูหลับตาพูด ให้ดูคำวินิจฉัย ดูเหตุผล คำวินิจฉัยเขียนไว้ชัดว่ากระบวนการรับสมัคร และวันเลือกตั้งคนละเรื่องกันซึ่งคำวินิจฉัยก็เป็นไปตามคำร้องของ กกต.ตอนสมัครเขามีสิทธิ แต่เมื่อถึงวันเลือกตั้งตกเป็นผู้ต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิ การพ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรคก็เกิดขึ้นในวันเลือกตั้ง แต่กระบวนการก่อนหน้านั้นถูกต้อง อ่านคำวินิจฉัยให้ละเอียด อย่าเพิ่งทึกทัก
คำทักท้วงของประธานศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวคงจะเกิดจากระยะหลังนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมักจะได้รับคำร้องในเรื่องหยุมๆ หยิมๆ พรรคโน้นกล่าวหาพรรคนี้ พรรคนี้ร้องให้พิจารณาพรรคโน้นอยู่เป็นประจำ เป็นต้นว่า ร้องให้ศาลพิจารณาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากสมาชิกภาพความเป็นผู้แทนราษฎร เพราะไปแจกของช่วยน้ำท่วมที่พิษณุโลก ข้าวของที่แจกนั้นก็เป็นถุงยังชีพของกระทรวงๆ หนึ่งของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ฝ่ายประชาธิปัตย์ก็เอาคืนบ้าง ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพฤติกรรมของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าวของบริจาค เป็นต้น
กรณีที่จะมีการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยเนื่องจากเข้าใจว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายจตุพรพ้นสมาชิกภาพผู้แทนราษฎร เนื่องจากขาดการเป็นสมาชิกพรรค ก็ทึกทักทันทีว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่นายจตุพรสังกัดอยู่ทำผิดกฎหมาย ส่งคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือรู้อยู่แล้วว่านายจตุพรไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก็ยังส่ง เพราะฉะนั้นก็จะต้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย
ศาลท่านจึงบอกว่าให้อ่านคำวินิจฉัยของศาลให้ดีๆ ให้ละเอียด ให้เข้าใจ
การต่อสู้ทางการเมืองของนักการเมือง ของพรรคการเมืองไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอาศัยทริค อาศัยชั้นเชิงของข้อกฎหมาย เป็นต้น ฟ้องผิด, หมดอายุความ, มาต่อสู้กัน หากสมควรที่จะต่อสู้กันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ เพราะการจ้องเอาชนะกันด้วยเรื่องหยุมหยิม เอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาห้ำหั่นกันในที่สุดประชาชนก็จะเกิดความเบื่อหน่วยเอือมระอาต่อนักการเมือง พรรคการเมือง อย่างที่รู้สึกเบื่อหน่ายเอือมระอากันอยู่ทุกวันนี้
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องการล้มรัฐธรรมนูญอย่างหน้าด้านๆ ของเสียงส่วนใหญ่ในสภาคือ เสียงของพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ที่เป็นเสียงข้างมากในสภาที่กำลังทำกันอยู่ขณะ นี่คือการล้มล้างรัฐธรรมนูญ นี่คือการยึดอำนาจด้วยเสียงข้างมากในสภา เพราะนี่ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญ หากเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ หรือการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ
ฝ่ายรัฐบาลขณะนี้ไม่ได้ใช้ทหาร ใช้ปืน ใช้รถถัง หากทำด้วยวิธีการอันนุ่มนวล แต่หน้าด้าน โดยอาศัยเสียงข้างมากเอาชนะฝ่ายค้านเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทนฉบับปี 2550
นี่ต่างหากที่พรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะต้องต่อสู้ในส่วนที่ 13 ที่ว่าด้วยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดอยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร และเขียนเหมือนจะรู้ล่วงหน้าด้วยว่า จะต้องมีคนหน้าด้านฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทิ้งแล้วร่างขึ้นใหม่ จึงได้เขียนแนวทางป้องกัน หรือทางที่จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้เอาไว้ในมาตราที่ 68 และมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550
นี่ต่างหากที่พรรคประชาธิปัตย์ควรที่จะเดินหน้าพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อย่าให้ไอ้พวกหน้าด้านมันฉีกรัฐธรรมนูญได้