ASTVผู้จัดการรายวัน-"อภิชาต" ชี้คำร้องปชป.รับเงินบริจาค "อีสท์วอเตอร์" ยังอยู่ในชั้นไต่สวน ยังไม่สรุป เผยพรรคการเมืองเป็นคนกลางรับเงินบริจาคช่วยน้ำท่วมไม่ผิด แต่ "สดศรี"ยันต้องดูเจตนารมณ์ของผู้ให้และผู้รับ พร้อมสอบถึงดอกผลที่เกิดขึ้น หลังพบดองไว้ในบัญชี 1 เดือน "มาร์ค"บอกไม่มีใบเสร็จ เหตุไม่ได้นำเงินมาใช้ ด้าน "เรืองไกร"ไม่หยุด ยื่นดีเอสไอสอบเงินบริจาค 36 ล้าน
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง เปิดเผยถึงคำร้องของนายเรืองไร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ที่ขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์กรณีการรับบริจาคเงิน 1 ล้านบาทจากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ ว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนม.ค.2555 และได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนแล้ว ขอให้รอผลการสอบสวนก่อน
ส่วนที่มีการพูดกันว่า4 เดือนแล้ว ทำไมเรื่องไม่คืบนั้น ต้องชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวมีกระบวนการ ขั้นตอน เบื้องต้นเรื่องนี้ไปอยู่ที่กิจการพรรคการเมืองที่นางสดศรี สัตยธรรม ดูแลอยู่ จากนั้นจึงมาถึงตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง และก็ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งการพิจารณาของคณะกรรมการไต่สวนไม่มีกำหนดระยะเวลาว่าต้องเสร็จเมื่อใด แต่ก็จะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
"ยืนยันว่าจะไม่ช้า ถ้าหากเรื่องเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย เช่น หน่วยงานของรัฐเอาเงินมาให้พรรคการเมือง แบบนี้ผิดกฎหมายแน่ แต่กรณีบริษัท อีสต์วอเตอร์ ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่อยู่ ไปบริจาคจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบก่อน จึงยังให้ความเห็นอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หน้าที่ของนายทะเบียนฯ เพียงคนเดียว ที่จะต้องมีความเห็น อาจต้องเข้าที่ประชุม กกต. ลงมติก็ได้ ขึ้นอยู่กับกฎหมาย ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะมาอยู่ที่นายทะเบียนพรรคการเมืองทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องของการยุบพรรคก็ตาม แต่ทั้งนี้ ต้องรอความเห็นจากคณะกรรมการไต่สวนที่จะสรุปออกมาว่าจะต้องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นในเรื่องนี้ก่อนเข้าที่ประชุม กกต.หรือไม่ ขอให้อดใจรออีกนิดไม่ช้า”นายอภิชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้คงไม่สามารถเทียบเคียงกับกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหารับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งหากการบริจาคเงินในครั้งนี้ เป็นการบริจาคผ่านพรรคการเมืองเพื่อนำไปช่วยเหลือน้ำท่วม ส่วนตัวในฐานะ กกต. คนหนึ่งมองว่าไม่น่าจะผิดอะไร อย่างที่เคยมีมติกันในที่ประชุม กกต. เมื่อคราวที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ กกต. ได้เคยมีมติว่า การบริจาคเงินผ่าน ส.ส. เพื่อบริจาคให้ผู้ประสบภัย ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่หากเป็นการรับเข้าพรรคเพื่อเป็นการบำรุงพรรคการเมืองนั้นไม่ได้
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ในการประชุม กกต.ช่วงเช้าวานนี้ (24 พ.ค.) ได้มีการพูดคุยถึงคำร้องนี้ว่าไม่ควรเป็นอำนาจพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะยังไม่ชัดเจนว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นการรับบริจาคเงินที่ผิดกฎหมายมีเหตุต้องยุบพรรค ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการไต่สวนได้ข้อสรุปก็จะมีการนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา หากที่ประชุม กกต. มีมติเห็นว่าเป็นเรื่องของการรับบริจาคเงินผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ต้องยุบพรรค จึงค่อยเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนฯ ไปดำเนินการ แต่หากเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องการไม่รายงานรายรับรายจ่ายตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดไว้ กกต.ก็จะถือเป็นอำนาจของกกต.พิจารณาเพื่อนำไปสู่การลงลงมติได้
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามคำร้องของนายเรืองไกร จะเป็นกรณีที่ว่าการรับบริจาคเงิน 1 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการรับบริจาคแฝง ไม่ใช่การรับบริจาคเพื่อไปช่วยเหลือน้ำท่วม ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการไต่สวนมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า บริษัท อีสท์วอเตอร์ เป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นใหญ่ 1 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ต้องห้ามการบริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองตามมาตรา 71 พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ และเงิน 1 ล้านบาทนั้น ถือเป็นเงินบริจาคให้กับพรรคการเมืองหรือไม่ รวมถึงถ้าบริษัท อีสท์วอเตอร์ประสงค์ที่จะบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เหตุใดถึงไม่ไปบริจาคเข้าบัญชีของสำนักนายกรัฐมนตรี เหตุใดจึงต้องมาฝากผ่านบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ และตามข้อบังคับมีการระบุหรือไม่ว่าเงินบริจาคสามารถนำมาพักไว้ในบัญชีของพรรคได้ รวมถึงผู้บริจาคทั้ง 191 รายที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันหรือไม่
“เรื่องนี้ต้องดูเจตนารมณ์ของผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้มีเจตนาที่จะส่งพรรค หรือมีเจตนาที่จะส่งผ่านพรรค คณะกรรมการไต่สวนจะต้องชัดเจนเสียก่อน จึงจะพูดได้ว่าเป็นเงินบริจาคหรือไม่ ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการไต่สวนกำลังเรียกเอกสารจากทั้งบริษัทและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงมีหนังสือเชิญู ผู้บริหารบริษัท อีสต์วอเตอร์มาให้ถ้อยคำ เชื่อว่าการพิจารณาคงไม่นาน เพราะข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนคดีพรรคประชาธิปัตย์ รับเงินบริจาค 258 ล้านจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)” นางสดศรีกล่าว
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นคนกลางในการรับเงินและส่งต่อเงินที่ได้รับบริจาคไปที่สำนักนายกฯ โดยมีช่วงที่เงินพักอยู่ในบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ 1 เดือน ดอกผลที่ได้รับถือเป็นเงินบริจาคหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ต้องดูว่าเงินที่พรรคส่งให้กับสำนักนายกฯ นั้น เป็นการส่งทั้งต้นและดอกหรือไม่ หากส่งแต่ต้น ไม่ส่งดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถือเป็นเงินบริจาคหรือเป็นรายได้อื่น ซึ่งต้องมีการมาตีความกัน เพราะเป็นเรื่องของความเห็นที่อาจจะแตกต่างกัน ขนาดตุลาการยังเห็นไม่ตรงกัน แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น ตามกฎหมายบัญญัติว่า ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค รายรับ รายจ่าย พรรคมีหน้าที่ที่จะต้องจัดทำเป็นบัญชีงบดุลแต่ละปียื่นต่อ กกต.ว่ามีรายรับเท่าไร รายจ่ายเท่าไร แม้แต่บัญชีเงินฝากก็จะต้องรายงานว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเท่าไร มีการเบิกถอนไปใช้ในเรื่องใด ซึ่งจากรายงานบัญชีงบดุลปี 2553-54 ที่แจ้งต่อ กกต. ไม่พบว่าพรรคมีรายรับจากบริษัท อีสต์วอตอร์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุการรับเงินบริจาคของอีสวอเตอร์ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วว่า นายพร้อมพงษ์มาตัดสินอะไรแทนคนอื่น ตนคิดว่าควรเอาเวลาไปดูว่ารัฐบาลแก้ปัญหาของประชาชนได้หรือไม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้เงินของอีสต์วอเตอร์ในกิจการของพรรค และบริจาคเข้าช่วยน้ำท่วมในฐานะที่เป็นตัวกลาง ส่วนที่พรรคไม่มีใบเสร็จ เพราะพรรคไม่ได้นำเงินที่รับบริจาคมาใช้ และอยากถามว่าเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ว่าหากพรรคเป็นแค่ตัวกลางก็จะมีบัญชีที่มาพักเงิน และส่งต่อให้ ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีก็ออกใบเสร็จให้บริษัท ไม่ได้ออกให้พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เห็นมีประเด็นอะไร ดังนั้น ไม่รู้สึกกังวลอะไร ทีมกฎหมายก็ทำหน้าที่ พรรคพร้อมรับการตรวจสอบ แต่เมื่อชี้แจงชัดเจนไปแล้ว กลับไม่พยายามเข้าใจกัน ก็ต้องชี้แจงกันต่อไป
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้มีความพยายามสร้างเรื่องขึ้นมากลบข่าวของแพง โดยโยงเข้าหลายเรื่อง ขอให้ทั้งนายพร้อมพงศ์ และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สว. ตรวจสอบอย่างจริงจัง อย่าหยุด หากพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำอะไรละเมิดกฎหมาย ขอให้ทั้ง 2 คน มาพับเพียบขอขมาหน้าพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่พรรคประชาธิปัตย์
ส่วนประเด็นเว็บไซต์ล่ม ทางการไฟฟ้านครหลวง เขตสามเสน ได้ทำเรื่องแจ้งมายังพรรคว่า จะเข้ามาเปลี่ยนเครื่องวัดในวันเสาร์ที่ 19 พ.ค. หลัง 12.00 น. ซึ่งพรรคได้ติดประกาศเตือนไว้หน้าตึกทั้งสองตึกแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการหลีกหนีการตรวจสอบ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมนายเรืองไกรแกล้งโง่ หรือโง่จริง ที่ระบุว่าจะเข้ามาดูรายละเอียดเงินบริจาคในเว็บไซต์พรรค
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ฟังไม่ขึ้น เพราะการบริจาคเงินดังกล่าวน่าจะทำโดยตรงไปยังรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องผ่านพรรคประชาธิปัตย์ และทำไมนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ต้องไปเปิดบัญชีช่วยเหลือผู้ประสบภัยในนามพรรคประชาธิปัตย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งการโอนเงินเข้าบัญชีที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดขึ้นอาจไม่ได้มีเพียงบริษัท อีสท์วอเตอร์ เพียงบริษัทเดียว น่าจะมีมากกว่านั้นหรือไม่ วันนี้เราตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการอ้างช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้วนำเงินไปใช้ประโยชน์อื่นใด หรือเป็นลักษณะวัดครึ่งกรรมการครึ่งหรือไม่ มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกี่บริษัท และยอดเงินที่ผ่านบัญชีทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าไร ตลอดจนส่งยอดให้รัฐบาลครบหรือไม่
"ส่วนตัวทราบว่า เมื่อมีการดำเนินการเรื่องนี้ นักกฎหมายภายในพรรคประชาธิปัตย์อักษรย่อ ว. ได้ท้วงติงว่าการรับเงินจากบริษัทดังกล่าวเข้าบัญชีพรรคนั้น สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย อาจถึงขึ้นยุบพรรค จนต้องทำการประชุมหาทางออก และนำเงินไปบริจาคให้สำนักนายกรัฐมนตรีในที่สุด หลังเก็บไว้เดือนเศษ อยากถามว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่"นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสวบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอให้ตรวจสอบที่มาของเงินที่บริจาคให้สำนักนายกรัฐมนตรีว่าเกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีร้องสืบเนื่องจากการร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ตรวจสอบที่มาของเงินจำนวน 36,454,909 บาท ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้รับมาเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง จำนวน 1 ใบ โดยมีการออกใบเสร็จรับเงินตามเช็คนั้นให้กับผู้บริจาครวม 191ราย
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง เปิดเผยถึงคำร้องของนายเรืองไร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ที่ขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์กรณีการรับบริจาคเงิน 1 ล้านบาทจากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ ว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนม.ค.2555 และได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนแล้ว ขอให้รอผลการสอบสวนก่อน
ส่วนที่มีการพูดกันว่า4 เดือนแล้ว ทำไมเรื่องไม่คืบนั้น ต้องชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวมีกระบวนการ ขั้นตอน เบื้องต้นเรื่องนี้ไปอยู่ที่กิจการพรรคการเมืองที่นางสดศรี สัตยธรรม ดูแลอยู่ จากนั้นจึงมาถึงตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง และก็ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งการพิจารณาของคณะกรรมการไต่สวนไม่มีกำหนดระยะเวลาว่าต้องเสร็จเมื่อใด แต่ก็จะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
"ยืนยันว่าจะไม่ช้า ถ้าหากเรื่องเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย เช่น หน่วยงานของรัฐเอาเงินมาให้พรรคการเมือง แบบนี้ผิดกฎหมายแน่ แต่กรณีบริษัท อีสต์วอเตอร์ ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่อยู่ ไปบริจาคจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบก่อน จึงยังให้ความเห็นอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หน้าที่ของนายทะเบียนฯ เพียงคนเดียว ที่จะต้องมีความเห็น อาจต้องเข้าที่ประชุม กกต. ลงมติก็ได้ ขึ้นอยู่กับกฎหมาย ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะมาอยู่ที่นายทะเบียนพรรคการเมืองทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องของการยุบพรรคก็ตาม แต่ทั้งนี้ ต้องรอความเห็นจากคณะกรรมการไต่สวนที่จะสรุปออกมาว่าจะต้องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นในเรื่องนี้ก่อนเข้าที่ประชุม กกต.หรือไม่ ขอให้อดใจรออีกนิดไม่ช้า”นายอภิชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้คงไม่สามารถเทียบเคียงกับกรณีพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหารับเงินบริจาคจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งหากการบริจาคเงินในครั้งนี้ เป็นการบริจาคผ่านพรรคการเมืองเพื่อนำไปช่วยเหลือน้ำท่วม ส่วนตัวในฐานะ กกต. คนหนึ่งมองว่าไม่น่าจะผิดอะไร อย่างที่เคยมีมติกันในที่ประชุม กกต. เมื่อคราวที่เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ กกต. ได้เคยมีมติว่า การบริจาคเงินผ่าน ส.ส. เพื่อบริจาคให้ผู้ประสบภัย ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่หากเป็นการรับเข้าพรรคเพื่อเป็นการบำรุงพรรคการเมืองนั้นไม่ได้
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ในการประชุม กกต.ช่วงเช้าวานนี้ (24 พ.ค.) ได้มีการพูดคุยถึงคำร้องนี้ว่าไม่ควรเป็นอำนาจพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะยังไม่ชัดเจนว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นการรับบริจาคเงินที่ผิดกฎหมายมีเหตุต้องยุบพรรค ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการไต่สวนได้ข้อสรุปก็จะมีการนำเรื่องเสนอให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา หากที่ประชุม กกต. มีมติเห็นว่าเป็นเรื่องของการรับบริจาคเงินผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ต้องยุบพรรค จึงค่อยเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนฯ ไปดำเนินการ แต่หากเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องการไม่รายงานรายรับรายจ่ายตามที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองกำหนดไว้ กกต.ก็จะถือเป็นอำนาจของกกต.พิจารณาเพื่อนำไปสู่การลงลงมติได้
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามคำร้องของนายเรืองไกร จะเป็นกรณีที่ว่าการรับบริจาคเงิน 1 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการรับบริจาคแฝง ไม่ใช่การรับบริจาคเพื่อไปช่วยเหลือน้ำท่วม ซึ่งตรงนี้คณะกรรมการไต่สวนมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า บริษัท อีสท์วอเตอร์ เป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นใหญ่ 1 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่ต้องห้ามการบริจาคเงินเข้าพรรคการเมืองตามมาตรา 71 พ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ และเงิน 1 ล้านบาทนั้น ถือเป็นเงินบริจาคให้กับพรรคการเมืองหรือไม่ รวมถึงถ้าบริษัท อีสท์วอเตอร์ประสงค์ที่จะบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เหตุใดถึงไม่ไปบริจาคเข้าบัญชีของสำนักนายกรัฐมนตรี เหตุใดจึงต้องมาฝากผ่านบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ และตามข้อบังคับมีการระบุหรือไม่ว่าเงินบริจาคสามารถนำมาพักไว้ในบัญชีของพรรคได้ รวมถึงผู้บริจาคทั้ง 191 รายที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันหรือไม่
“เรื่องนี้ต้องดูเจตนารมณ์ของผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้มีเจตนาที่จะส่งพรรค หรือมีเจตนาที่จะส่งผ่านพรรค คณะกรรมการไต่สวนจะต้องชัดเจนเสียก่อน จึงจะพูดได้ว่าเป็นเงินบริจาคหรือไม่ ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการไต่สวนกำลังเรียกเอกสารจากทั้งบริษัทและพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงมีหนังสือเชิญู ผู้บริหารบริษัท อีสต์วอเตอร์มาให้ถ้อยคำ เชื่อว่าการพิจารณาคงไม่นาน เพราะข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากเหมือนคดีพรรคประชาธิปัตย์ รับเงินบริจาค 258 ล้านจากบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)” นางสดศรีกล่าว
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นคนกลางในการรับเงินและส่งต่อเงินที่ได้รับบริจาคไปที่สำนักนายกฯ โดยมีช่วงที่เงินพักอยู่ในบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ 1 เดือน ดอกผลที่ได้รับถือเป็นเงินบริจาคหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ต้องดูว่าเงินที่พรรคส่งให้กับสำนักนายกฯ นั้น เป็นการส่งทั้งต้นและดอกหรือไม่ หากส่งแต่ต้น ไม่ส่งดอกเบี้ย ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจะถือเป็นเงินบริจาคหรือเป็นรายได้อื่น ซึ่งต้องมีการมาตีความกัน เพราะเป็นเรื่องของความเห็นที่อาจจะแตกต่างกัน ขนาดตุลาการยังเห็นไม่ตรงกัน แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น ตามกฎหมายบัญญัติว่า ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาค รายรับ รายจ่าย พรรคมีหน้าที่ที่จะต้องจัดทำเป็นบัญชีงบดุลแต่ละปียื่นต่อ กกต.ว่ามีรายรับเท่าไร รายจ่ายเท่าไร แม้แต่บัญชีเงินฝากก็จะต้องรายงานว่ามีเงินอยู่ในบัญชีเท่าไร มีการเบิกถอนไปใช้ในเรื่องใด ซึ่งจากรายงานบัญชีงบดุลปี 2553-54 ที่แจ้งต่อ กกต. ไม่พบว่าพรรคมีรายรับจากบริษัท อีสต์วอตอร์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุการรับเงินบริจาคของอีสวอเตอร์ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วว่า นายพร้อมพงษ์มาตัดสินอะไรแทนคนอื่น ตนคิดว่าควรเอาเวลาไปดูว่ารัฐบาลแก้ปัญหาของประชาชนได้หรือไม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้เงินของอีสต์วอเตอร์ในกิจการของพรรค และบริจาคเข้าช่วยน้ำท่วมในฐานะที่เป็นตัวกลาง ส่วนที่พรรคไม่มีใบเสร็จ เพราะพรรคไม่ได้นำเงินที่รับบริจาคมาใช้ และอยากถามว่าเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ว่าหากพรรคเป็นแค่ตัวกลางก็จะมีบัญชีที่มาพักเงิน และส่งต่อให้ ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีก็ออกใบเสร็จให้บริษัท ไม่ได้ออกให้พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เห็นมีประเด็นอะไร ดังนั้น ไม่รู้สึกกังวลอะไร ทีมกฎหมายก็ทำหน้าที่ พรรคพร้อมรับการตรวจสอบ แต่เมื่อชี้แจงชัดเจนไปแล้ว กลับไม่พยายามเข้าใจกัน ก็ต้องชี้แจงกันต่อไป
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ขณะนี้มีความพยายามสร้างเรื่องขึ้นมากลบข่าวของแพง โดยโยงเข้าหลายเรื่อง ขอให้ทั้งนายพร้อมพงศ์ และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต สว. ตรวจสอบอย่างจริงจัง อย่าหยุด หากพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำอะไรละเมิดกฎหมาย ขอให้ทั้ง 2 คน มาพับเพียบขอขมาหน้าพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่พรรคประชาธิปัตย์
ส่วนประเด็นเว็บไซต์ล่ม ทางการไฟฟ้านครหลวง เขตสามเสน ได้ทำเรื่องแจ้งมายังพรรคว่า จะเข้ามาเปลี่ยนเครื่องวัดในวันเสาร์ที่ 19 พ.ค. หลัง 12.00 น. ซึ่งพรรคได้ติดประกาศเตือนไว้หน้าตึกทั้งสองตึกแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการหลีกหนีการตรวจสอบ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมนายเรืองไกรแกล้งโง่ หรือโง่จริง ที่ระบุว่าจะเข้ามาดูรายละเอียดเงินบริจาคในเว็บไซต์พรรค
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ฟังไม่ขึ้น เพราะการบริจาคเงินดังกล่าวน่าจะทำโดยตรงไปยังรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องผ่านพรรคประชาธิปัตย์ และทำไมนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ต้องไปเปิดบัญชีช่วยเหลือผู้ประสบภัยในนามพรรคประชาธิปัตย์เป็นการเฉพาะ ซึ่งการโอนเงินเข้าบัญชีที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดขึ้นอาจไม่ได้มีเพียงบริษัท อีสท์วอเตอร์ เพียงบริษัทเดียว น่าจะมีมากกว่านั้นหรือไม่ วันนี้เราตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการอ้างช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้วนำเงินไปใช้ประโยชน์อื่นใด หรือเป็นลักษณะวัดครึ่งกรรมการครึ่งหรือไม่ มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกี่บริษัท และยอดเงินที่ผ่านบัญชีทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าไร ตลอดจนส่งยอดให้รัฐบาลครบหรือไม่
"ส่วนตัวทราบว่า เมื่อมีการดำเนินการเรื่องนี้ นักกฎหมายภายในพรรคประชาธิปัตย์อักษรย่อ ว. ได้ท้วงติงว่าการรับเงินจากบริษัทดังกล่าวเข้าบัญชีพรรคนั้น สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย อาจถึงขึ้นยุบพรรค จนต้องทำการประชุมหาทางออก และนำเงินไปบริจาคให้สำนักนายกรัฐมนตรีในที่สุด หลังเก็บไว้เดือนเศษ อยากถามว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่"นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสวบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอให้ตรวจสอบที่มาของเงินที่บริจาคให้สำนักนายกรัฐมนตรีว่าเกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งเป็นกรณีร้องสืบเนื่องจากการร้องต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองให้ตรวจสอบที่มาของเงินจำนวน 36,454,909 บาท ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้รับมาเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง จำนวน 1 ใบ โดยมีการออกใบเสร็จรับเงินตามเช็คนั้นให้กับผู้บริจาครวม 191ราย