“โทรโข่งมาร์ค” ควง “ติ่ง” ยื่นอัยการสูงสุด เร่งฟ้องศาลฎีกาฟัน “ทักษิณ” และพวกละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยสินเชื่อ 9 พันล้านทำกรุงไทยเสียหาย สับ ป.ป.ช.ชงเรื่องผ่านมา 3 ปียังเงียบ จี้ให้คำตอบใน 30 วัน เล็งตามเช็กดีเอสไอฟัน “ปู” ให้การเท็จคดีหุ้นชิน
วันนี้ (17 พ.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อเวลา 10.30 น. นายแทนคุณ จิตอิสระ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และน.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยทีมกฎหมายพรรค ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อขอให้เร่งรัดดำเนินการฟ้องร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาอื่น 31 ราย ในคดีกระทำความผิดเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ จนทำให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงไทย จากการปล่อยสินเชื่อวงเงิน 9 พันล้านบาท โดยสาระในหนังสือมีใจความว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ทำสำนวนแล้วเสร็จ และมีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. 2551 แต่ขณะนั้นอัยการสูงสุดอ้างว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ และคตส. พ้นวาระแล้ว เรื่องจึงอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างอัยการ และป.ป.ช. จนแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2552 และส่งเรื่องอัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ผ่านมากว่า 3 ปีแล้ว กลับยังไม่มีความชัดเจนว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งอย่างไร จึงขอให้เร่งรัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อนำคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงทางการเมืองต่อไป
ทั้งนี้ นายแทนคุณกล่าวว่า เหตุผลที่ต้องมายื่นหนังสือดังกล่าวเพราะคดีนี้มีความล่าช้ามาก และอยู่ในความสนใจของประชาชน สร้างความเสียหายแก่รัฐและประเทศชาติ ทำให้เกิดความกังวลว่าในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านอำนาจมาเป็นรัฐบาลชุดนี้อาจมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมตั้งต้นจนทำให้การตรวจสอบทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเห็นได้จากหลายคดีที่มีความเปลี่ยนแปลงไป จึงรู้สึกกังวลว่าจะมีความพยายามล้างความผิด จึงต้องติดตามมาที่อัยการสูงสุด และคิดว่าทางอัยการควรจะให้คำตอบได้ภายใน 30 วัน ว่าทิศทางในการสั่งคดีจะเป็นอย่างไร เนื่องจากได้สอบถามไปทาง ป.ป.ช.ก็ยืนยันว่าคดีมีความชัดเจนแต่ติดอยู่ที่อัยการสูงสุด ซึ่งเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย หากอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ป.ป.ช.ก็คงจะพิจารณาตามกฎหมายว่าจะฟ้องเองหรือไม่
นายแทนคุณกล่าวว่า อยากให้สังคมช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้มีการเบี่ยงเบนคดีจากกลไกรัฐและผู้มีอำนาจเพื่อให้ทุกคดีที่มีการชี้มูลความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นำไปสู่การตัดสินที่เป็นบรรทัดฐานให้คนไทยได้ยอมรับว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองจากการทุจริตคอรัปชั้นจะถูกลงโทษ ดังนั้น คนที่มีหน้าที่ต้องช่วยกันทำงานอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าก่อนหน้านี้อัยการสูงสุดจะเคยมีคำสั่งไม่ยื่นคำฟ้องต่อศาลฏีกาในคดีคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ เลี่ยงภาษีจนทำให้คดียุติไปก็ตาม แต่ในดคีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนและ ป.ป.ช.ก็มีอำนาจตามกฏหมายที่จะฟ้องเองได้
“หากอัยการสูงสุดมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีคำธิบายต่อสังคมได้ว่าไม่ฟ้องเพราะอะไร และอยากเตือนว่าประชาชนมีความตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้ จึงหวังว่าอัยการสูงสุดจะดำเนินคดีเพราะมีการทุจริตเกิดขึ้นจริง เพราะหากคดีเปลี่ยนแปลงได้ตามอำนาจทางการเมืองจนมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารไม่ได้ ก็ถือเป็นหายนะของประเทศ และเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้เกิดปัญหาตามมา” นายแทนคุณกล่าว
นายแทนคุณกล่าวด้วยว่า อยากให้ผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมทุกฝ่ายเล็งเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศชาติ ทำงานอย่างตรงไปตรงมาโปร่งใสตรวจสอบได้ เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม และขณะนี้ก็เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตว่ากำลังมีการเข้าเกียร์ว่างเพราะรอการแก้รัฐธรรมนูญและ การนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งหากเป็นจริงก็จะทำให้สังคมเกิดความสิ้นหวังเพราะที่ผ่านมาการทุจริตคอรัปชั่นแทบจะเอานักการเมืองรายใหญ่มาลงโทษไม่ได้เลย
ด้าน น.ส.มัลลิกากล่าวว่า จะติดตามตรวจสอบคดีที่ยังค้างในดีเอสไอ ด้วย ทั้งกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การเท็จในคดีหุ้นชินฯ และคดีก่อการร้าย ส่วนคดีนี้นอกจากผู้กระทำความผิดจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ตามหลักฐานที่คตส.สอบสวนยังพบว่านายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยฐานรับของโจร เพราะมีการโอนเงินผ่านเข้าบัญชี 17 ล้านบาท ซึ่งมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นคนโทรศัพท์สั่งกลางที่ประชุม ใครคือเจ้านายโดยคำพูดของประธานบอร์ด และใครได้รับเงินปากถุง 17 ล้านบาท ซึ่งในสำนวนของ คตส.มีชื่อของนายพานทองแท้ รับของโจร เกี่ยวข้องกับบริษัทฮาวคัม โดยมีการโอนเงินผ่านบัญชีเป็นหลักฐานมัดอย่างชัดเจน จึงหวังว่าทางอัยการสูงสุดจะดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา