“ปู” สั่งล้อมคอกเหตุระเบิดที่ระยอง โวย “บ.อดิตยาฯ” ผิดพลาดซ้ำซ้อนแต่กลับต่อใบอนุญาตให้ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบรื้อ กม.ที่ดิน เปิดทางออกโฉนดไม่ต้องรังวัด พร้อมปล่อยกู้ 184 ล้านหนุน “ลาว” ปรับปรุงสนามบินปากเซ พร้อมอนุมัติให้ “เคหะ” กู้เงินเสริมสภาพคล่อง 8.5 พันล้านด้วย
วันนี้ (8 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงบรรยากาศในการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมในวันนี้ (8 พ.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปรารภถึงเหตุการณ์ถังสารเคมีระเบิดที่โรงงานบีเอสที ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง และกรณีที่ก๊าซคลอรีนรั่วที่บริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลส์ (ประเทศไทย) ในนิคมเหมราช จ.ระยอง โดยตั้งข้อสังเกตว่า บ.อดิตยาเคยเกิดก๊าซรั่วมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2551 เหตุใดจึงยังต่อใบอนุญาตให้กับโรงงานแห่งนี้ จึงได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปหามาตรการ พร้อมออกยุทธศาสตร์ที่จะสร้างมาตรการให้โรงงานมีความปลอดภัย รวมทั้งชุมชนโดยรอบโรงงานก็อยู่ได้อย่างปลอดภัยด้วย ขณะเดียวกัน ขอให้มีการตั้งศูนย์ภายในพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงกับชุมชน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ต้องทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ และต้องมีหน่วยงานที่จะสามารถบูรณาการได้ในพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้ไมใช่วัวหายแล้วจะล้อมคอก แต่นายกรัฐมนตรีได้ทำการขันน๊อตเท่านั้น
นายอนุสรณ์กล่าวด้วยว่า จากกรณีที่เหตุการณ์ถังสารเคมีระเบิดที่โรงงานบีเอสที ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยองนั้น ทางสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือภาคแรงงาน โดยเงินที่จำนำมาชดเชยนั้นมาจากเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมก็พร้อมที่จ่ายชดเชยแล้ว รอเพียงแต่หลักฐานจากญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งการชดเชยนั้นประกอบด้วย 1. ค่ารักษาพยาบาล จำนวน 104 ราย เป็นเงิน 4.5 ล้านบาท 2. ค่าทำศพ 12 ราย เป็นเงิน 3.6 แสนบาท 3. ค่าทดแทนกรณีเสียชีวิต 12 ราย เป็นเงิน 13.8 ล้านบาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน 18.3 ล้านบาท
สำหรับเหตุการณ์ที่มีคนงานตกจากกระเช้าติดสติกเกอร์โฆษณาที่ตึกใบหยก 2 จนมีผู้เสียชีวิต 3 รายนั้น นายอนุสรณ์เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบให้กระทรวงแรงงานไปดูเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของคนงานพร้อมกับรายงานด้วย ขณะเดียวกัน ขอให้กระทรวงแรงงานดูมารตรการที่จะช่วยเหลือและหาแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ด้าน นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับมติเห็นชอบในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) วงเงิน 184 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงสนามบินปากเซ ระยะที่ 2 โดยมีขอบข่ายงาน ขยายความยาวและความกว้างของทางวิ่ง (รันเวย์) การปรับปรุงลานจอดอากาศยาน การติดตั้งระบบไฟนำร่องอากาศยาน และติดตั้งระบบไฟบริเวณทางวิ่ง ทางขับ และบริเวณลานจอดอากาศยาน รวมไปถึงการปรับปรุงหอบังคับการบินจาก 3 ชั้นเป็น 6 ชั้น ทั้งนี้เป็นไปตามสัญญาว่าจ้าง บริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) ที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างสัญชาติไทย
นายภักดีหาญส์กล่าวต่อว่า วงเงิน 184 ล้านบาทดังกล่าวนั้นจะเป็นความช่วยเหลือในลักษณะวงเงินกู้เต็มจำนวน คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 ต่อปี อายุสัญญา 20 ปี รวมระยะเวลาปลอดหนี้ 5 ปี ทั้งนี้ได้ประมาณการเบิกจ่ายเงิน 2 ปี คือ ปี 55 จำนวน 84 ล้านบาท และปี 56 จำนวน 100 ล้านบาท
นายภักดีหาญส์เปิดเผยอีกว่า ในส่วนกรณีการกู้เงินประจำปีและแผนการปรับโครงสร้างหนี้รัฐวิสาหกิจของการเคหะแห่งชาติ โดยในส่วนของการกู้เงินประจำปีนั้นเพื่อนำมาลงทุนภายในประเทศ จำนวน 2,500 ล้านบาท ภายใต้ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 วงเงิน 400 ล้านบาท ระยะที่ 4 วงเงิน 1,000 ล้านบาท และระยะที่ 5 วงเงิน 1,100 ล้านบาท ส่วนแผนการปรับโครงสร้างหนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 5,500 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารออมสิน 2,000 ล้านบาท และเงินกู้ธนาคารทหารไทย 3,500 ล้านบาท รวมไปถึงแผนเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องอีก 500 ล้านบาท รวมต้องกู้เงินในประเทศทั้งสิ้น 8,500 ล้านบาท โดยมีกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ค้ำประกัน
ขณะที่ นายอนุสรณ์กล่าวถึงผลการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่...) พ.ศ... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีสาระสำคัญการแก้ไขหลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยให้ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ สามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปรังวัดที่ดิน ซึ่งประชาชนสามารถไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เพื่อให้ออกโฉนด