รัฐบาลเดินหน้าสร้างเมืองใหม่ สั่ง คกก.บริหารจัดการน้ำศึกษา หวังใช้ฐานข้อมูลเดียวกันทั้งประเทศ ขณะที่วิชาการตั้งลำขวางแผนถมทะเล กระทบสิ่งแวดล้อมเจอต่อต้านแน่ ดักคออย่าหวังใช้ภาษี ปชช.สร้างเมืองใหม่เพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว
วันนี้ (25 เม.ย.) นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ไปวางผังเมือง โดยดูจากการวางแผนผังของเมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้มีการถมทะเลสร้างเมืองใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งที่ทางพรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมืองเทียนจินของประเทศจีน ถือเป็นเมืองเก่าแก่มีมานานแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ทาง กบอ.ไปพิจารณาเรื่องของการวางผังเมืองใหม่ ซึ่งพบว่าเมืองเทียนจินได้มีการแบ่งโซนพื้นที่ในการพัฒนา โดยนำรูปแบบของประเทศต่างๆ เข้ามาอยู่ในพื้นที่อย่างประเทศอังกฤษ เพื่อทำให้เห็นถึงการพัฒนาของประเทศจีน โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าควรจะนำรูปแบบต่างๆ เข้ามาปรับปรุงในส่วนของไทย ทั้งในเรื่องของศิลปาชีพและโอทอป รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่เช่น ดอนเมืองหรือท่าเรือ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปตามแผนเดียวกัน
นายภักดีหาญส์กล่าวต่อว่า โดยนายกฯ อยากให้มีการอัปเดตข้อมูลไปพร้อมๆ กัน และใช้บรรทัดฐานเดียวกัน อย่างในเรื่องของแผนที่ก็อยากเห็นการใช้แผนที่ในพิกัดเดียวกันทั้งหมด รวมถึงการทำเอ็มโอยูร่วมกันระหว่างประเทศจีนและญี่ปุ่นในการเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงในประเทศ และให้มีการเชื่อมต่อรถไฟรางเก่าซึ่งยังคงใช้อยู่ โดยใช้ส่วนนี้นำไปสู่การท่องเที่ยวในท้องถิ่น รูปแบบชนบท อย่างไรก็ตาม นโยบายของพรรคเพื่อไทยในเรื่องการถมทะเลสร้างเมืองใหม่ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากและเป็นโครงการระยะยาว เนื่องจากต้องมีการจัดหาพื้นที่เพิ่มเติม
ด้าน นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ในการที่จะสร้าง แต่จะต้องรักษาระบบนิเวศไว้ เพราะการพัฒนาจะต้องมีการทำควบคู่กันไป แต่ถ้าถมทะเลเป็นผืนและป่าชายเลน แหล่งทำกินถูกทำลายและหมดไป ก็จะถูกต่อต้านแน่นอน แต่ก็มีแนวคิดที่จะทำได้ โดยถมเป็นทางออกไป แล้วไปเปิดในทะเล ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะถมตั้งแต่ริมฝั่ง
ดร.เสรีกล่าวต่อว่า การถมทะเลจะต้องมีการศึกษาผลดีผลเสียให้ละเอียดรอบครอบ เพราะถ้าศึกษาแล้วเจอปัญหาว่าส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและไม่สามารถทำควบคู่ได้ดีทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือมีข้อดีเพียงข้อเดียวคือเรื่องเศรษฐกิจ การสร้างงานใหม่ ก็ไม่ควรจะทำ และที่สำคัญการสร้างเมืองใหม่จะต้องไม่ใช้เงินภาษีของประชาชน อาจจะใช้เงินลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายการถมทะเลที่ถูกต่อต้านก่อนหน้าเพราะไม่มีความชัดเจน รายละเอียดการบริหารจัดการ วิธีการดำเนินการ ดังนั้นจะต้องมีการศึกษาหาความชัดเจนให้ได้เสียก่อนเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
ด้าน นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองว่า ตนไม่เห็นด้วยเพราะพื้นที่ที่จะถมทะเลนั้น ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ทั้งเรื่องของการประมง การใช้ชีวิตดำรงอยู่ รวมถึงระบบนิเวศ สัตว์น้ำอีกมาก ดังนั้นถ้ารัฐบาลตัดสินใจทำอะไรไปโดยไม่มีการศึกษาถึงความชัดเจนก็จะเกิดผลกระทบแน่นอน และโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพที่จะศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในโครงการใหญ่ๆ แบบนี้ได้ ไม่ว่าจะเรื่องของกำลังคน หรือแม้แต่กระทรวง ทบวง กรม ก็ตาม แล้วใครที่มาบอกว่าถมทะเลแล้วจะไม่มีปัญหาตนไม่เชื่อเด็ดขาด หากทำจริงตนเชื่อมั่นว่าจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งเรื่องการจัดการชายฝั่ง
“ขอถามว่า ผลดีของโครงการนี้คืออะไร เพราะว่าประเทศไทยมีพื้นที่อีกเยอะที่จะนำไปพัฒนา ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีที่ก็เข้าใจได้ โครงการนี้ใครจะได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นการสร้างน้ำหนักของผลดีและผลเสีย ยังนึกภาพไม่ออก ทำไมการขยายเมืองใหม่ต้องขยายในทะเล หากโครงการดังกล่าวทำแล้วเกิดผลเสียใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเป็นโครงการที่ทำถาวร แก้ไขยาก ใครจะกล้ารับผิดชอบกับการทำลายทะเลด้วยพื้นที่มหาศาล การที่จะออกมาขอโทษ เสียใจทำทะเลพังมันไม่ได้” ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว
วันนี้ (25 เม.ย.) นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ไปวางผังเมือง โดยดูจากการวางแผนผังของเมืองเทียนจิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้มีการถมทะเลสร้างเมืองใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งที่ทางพรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมืองเทียนจินของประเทศจีน ถือเป็นเมืองเก่าแก่มีมานานแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ทาง กบอ.ไปพิจารณาเรื่องของการวางผังเมืองใหม่ ซึ่งพบว่าเมืองเทียนจินได้มีการแบ่งโซนพื้นที่ในการพัฒนา โดยนำรูปแบบของประเทศต่างๆ เข้ามาอยู่ในพื้นที่อย่างประเทศอังกฤษ เพื่อทำให้เห็นถึงการพัฒนาของประเทศจีน โดยนายกรัฐมนตรีเห็นว่าควรจะนำรูปแบบต่างๆ เข้ามาปรับปรุงในส่วนของไทย ทั้งในเรื่องของศิลปาชีพและโอทอป รวมถึงการปรับปรุงพื้นที่เช่น ดอนเมืองหรือท่าเรือ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปตามแผนเดียวกัน
นายภักดีหาญส์กล่าวต่อว่า โดยนายกฯ อยากให้มีการอัปเดตข้อมูลไปพร้อมๆ กัน และใช้บรรทัดฐานเดียวกัน อย่างในเรื่องของแผนที่ก็อยากเห็นการใช้แผนที่ในพิกัดเดียวกันทั้งหมด รวมถึงการทำเอ็มโอยูร่วมกันระหว่างประเทศจีนและญี่ปุ่นในการเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงในประเทศ และให้มีการเชื่อมต่อรถไฟรางเก่าซึ่งยังคงใช้อยู่ โดยใช้ส่วนนี้นำไปสู่การท่องเที่ยวในท้องถิ่น รูปแบบชนบท อย่างไรก็ตาม นโยบายของพรรคเพื่อไทยในเรื่องการถมทะเลสร้างเมืองใหม่ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมากและเป็นโครงการระยะยาว เนื่องจากต้องมีการจัดหาพื้นที่เพิ่มเติม
ด้าน นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ในการที่จะสร้าง แต่จะต้องรักษาระบบนิเวศไว้ เพราะการพัฒนาจะต้องมีการทำควบคู่กันไป แต่ถ้าถมทะเลเป็นผืนและป่าชายเลน แหล่งทำกินถูกทำลายและหมดไป ก็จะถูกต่อต้านแน่นอน แต่ก็มีแนวคิดที่จะทำได้ โดยถมเป็นทางออกไป แล้วไปเปิดในทะเล ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะถมตั้งแต่ริมฝั่ง
ดร.เสรีกล่าวต่อว่า การถมทะเลจะต้องมีการศึกษาผลดีผลเสียให้ละเอียดรอบครอบ เพราะถ้าศึกษาแล้วเจอปัญหาว่าส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและไม่สามารถทำควบคู่ได้ดีทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม หรือมีข้อดีเพียงข้อเดียวคือเรื่องเศรษฐกิจ การสร้างงานใหม่ ก็ไม่ควรจะทำ และที่สำคัญการสร้างเมืองใหม่จะต้องไม่ใช้เงินภาษีของประชาชน อาจจะใช้เงินลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายการถมทะเลที่ถูกต่อต้านก่อนหน้าเพราะไม่มีความชัดเจน รายละเอียดการบริหารจัดการ วิธีการดำเนินการ ดังนั้นจะต้องมีการศึกษาหาความชัดเจนให้ได้เสียก่อนเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
ด้าน นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองว่า ตนไม่เห็นด้วยเพราะพื้นที่ที่จะถมทะเลนั้น ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ทั้งเรื่องของการประมง การใช้ชีวิตดำรงอยู่ รวมถึงระบบนิเวศ สัตว์น้ำอีกมาก ดังนั้นถ้ารัฐบาลตัดสินใจทำอะไรไปโดยไม่มีการศึกษาถึงความชัดเจนก็จะเกิดผลกระทบแน่นอน และโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพที่จะศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในโครงการใหญ่ๆ แบบนี้ได้ ไม่ว่าจะเรื่องของกำลังคน หรือแม้แต่กระทรวง ทบวง กรม ก็ตาม แล้วใครที่มาบอกว่าถมทะเลแล้วจะไม่มีปัญหาตนไม่เชื่อเด็ดขาด หากทำจริงตนเชื่อมั่นว่าจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งเรื่องการจัดการชายฝั่ง
“ขอถามว่า ผลดีของโครงการนี้คืออะไร เพราะว่าประเทศไทยมีพื้นที่อีกเยอะที่จะนำไปพัฒนา ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีที่ก็เข้าใจได้ โครงการนี้ใครจะได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นการสร้างน้ำหนักของผลดีและผลเสีย ยังนึกภาพไม่ออก ทำไมการขยายเมืองใหม่ต้องขยายในทะเล หากโครงการดังกล่าวทำแล้วเกิดผลเสียใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเป็นโครงการที่ทำถาวร แก้ไขยาก ใครจะกล้ารับผิดชอบกับการทำลายทะเลด้วยพื้นที่มหาศาล การที่จะออกมาขอโทษ เสียใจทำทะเลพังมันไม่ได้” ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว
