หน.ปชป.ยันพร้อมไปฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีถุงยังชีพพรุ่งนี้ ลั่นไม่กังวลคำตัดสิน ซัดรัฐนำเข้าน้ำมันปาล์มแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เย้ยถือทิฐิไม่ใช้ประกันราคาสินค้าเกษตรทำล้มเหลวรับจำนำข้าว-มัน จี้พาณิชย์เร่งแก้ของแพงที่โครงสร้าง แนะบอกชาวบ้านให้ชัดพื้นที่แก้มลิงอยู่ตรงไหน
วันนี้ (19 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการวินิจฉัยคำร้องขอถอดถอนตนและนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกจากตำแหน่ง กรณีที่พรรคเพื่อไทยยื่นคำร้องให้ตรวจสอบการแจกถุงยังชีพของกระทรวงพลังงานให้ประชาชนว่า ไม่มีความกังวลใจต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะวินิจฉัยอย่างไรก็เคารพและจะเดินทางไปฟังคำวินิจฉัยตามคำสั่งศาลด้วยตนเอง และยอมรับคำวินิจฉัย ซึ่งในวันพรุ่งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะได้วินิจฉัยกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องถึงพฤติกรรมขัดรัฐธรรมนูญของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ที่ออกคำสั่งแต่งตั้ง ส.ส.ไปบริหารของบริจาคในช่วงน้ำท่วมปลายปีที่แล้วพร้อมกับ ส.ส.อีก 8 คนด้วย ทั้งนี้ กรณีฝ่ายรัฐบาลนั้นเป็นเรื่องที่ ส.ส.เข้าไปมีอำนาจในการบริหารจัดการถือเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายข้าราชการในการจัดสรรถุงยังชีพ แต่กรณีของตนและนายแพทย์วรงค์ไม่ได้มีการแอบอ้างและแทรกแซงอะไร
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาน้ำมันปาล์มของรัฐบาลด้วยการนำเข้าจากต่างประเทศว่า เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดเพราะการนำเข้าจะทำก็ต่อเมื่อมีการขาดแคลนเกิดขึ้น แต่ในกรณีนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงตัดสินใจนำเข้า เนื่องจากปัญหาไม่ได้เกิดความขาดแคลน แต่เป็นเพราะต้นทุนสูงจึงควรคำนวณและชดเชยที่ต้นทุนภายในประเทศ แต่การนำเข้ามาจะสร้างปัญหาให้แก่เกษตรกรทำให้ราคาปาล์มตกต่ำ ที่สำคัญคือจะมีการควบคุมเรื่องการส่งออกด้วยหรือไม่ เพราะขณะที่มีการนำเข้าก็ยังเปิดโอกาสให้มีการส่งออกได้ รวมทั้งทางพรรคจะติดตามด้วยว่าการนำเข้าดังกล่าวมีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องหรือไม่ทั้งการนำเข้า ราคา การชดเชยมีความโปร่งใสหรือเอื้อประโยชน์ให้ใครหรือไม่ ซึ่งตนยืนยันว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและทำให้เกิดความสูญเสีย 2 ด้าน ทั้งการชดเชยที่ต้องใช้ภาษีอากรประชาชน และยังกระทบต่อเกษตรกรมทำให้ราคาปาล์มได้รับผลกระทบจากการนำเข้าด้วย พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลแก้ปัญหาเหมือนที่รัฐบาลของตนเคยดำเนินการ คือ คำนวณต้นทุนและชดเชยเพื่อตรึงราคา
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า แต่ปัญหาใหญ่เป็นเพราะรัฐบาลใจไม่กว้างพอที่จะแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำ เหมือนกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับการรับจำนำข้าว และมันสำปะหลัง ก็เป็นทิฐิที่ไม่อยากใช้นโยบายประกันรายได้ของรัฐบาลประธิปัตย์ ทั้งที่นโยบายดังกล่าวช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงมากกว่าโดยไม่มีปัญหาการประท้วง ร้องเรียน และทุจริตรวมทั้งไม่สิ้นเปลืองงบประมาณเหมือนที่เกิดขึ้นกับการรับจำนำในขณะนี้ จึงคิดว่ารัฐบาลควรทบทวน เพราะการใช้ทิฐิมานำหน้าการบริหารประเทศไม่ได้ให้ผลที่คุ้มค่าสำหรับประชาชน
อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์ควรเร่งแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงทั้งระบบ โดยพิจารณาจากโครงสร้างต้นทุน เพื่อกำหนดราคาที่เป็นธรรม และควรเข้าไปดูต้นทุนอาหารสัตว์ รวมถึงกฎหมายการแข่งขันทางการค้า ซึ่งรัฐบาลที่แล้วได้มีการเริ่มต้นศึกษาเอาไว้แล้ว ถ้ารัฐบาลยังใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ และพรรคไม่เห็นด้วย เพราะหลายโครงการที่รัฐบาลดำเนินการนั้นเป็นการใช้ภาษีประชาชนไปช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่ทั่วถึง ทั้งที่ความจริงสามารถใช้อำนาจรัฐเข้าไปดูแลเรื่องต้นทุนก็จะไม่มีปัญหาเหล่านี้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุดทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น สิ้นเปลืองภาษีอากร มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเตรียมขอคำปรึกษาด้านการบริหารจัดการน้ำจากผู้เชี่ยวชาญระหว่างการเยือนประเทศจีนว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ปัญหาที่รัฐบาลควรเร่งแก้ไข คือ การทำความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่เพื่อบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำ หรือแก้มลิง ให้ชัดเจนว่าอยู่ที่ไหน อย่างไร แต่กลับยังไม่มีการดำเนินการในระดับพื้นที่ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะการดำเนินการแล้วค่อยไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านในภายหลังจะทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากไม่ได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่แรก โดยตนเคยท้วงติงแล้วว่าการเดินทางลงพื้นที่ตรวจต้นน้ำไปถึงปลายน้ำของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาเสียโอกาสในการทำความเข้าใจต่อประชาชน แต่รัฐบาลกลับโยนความรับผิดชอบไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการแทน ซึ่งกลายเป็นเรื่องสร้างปัญหาตามา และในขณะนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนจะเข้าสู่หน้าฝน แต่ยังไม่เห็นความพร้อมของรัฐบาลในการรับมือกับปัญหาอุทกภัย จึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ฝนตกมากเท่านั้น เพราะนโยบายรัฐบาลขณะนี้ก็กักเก็บน้ำในเขื่อน 60% จากเดิมที่กำหนดว่า 45% เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหาภัยแล้ง ซึ่งตนก็แปลกใจเพราะปีที่แล้วมีการกล่าวหารัฐบาลประชาธิปัตย์ว่าจงใจกักเก็บน้ำในเขื่อนไว้มากเพื่อทำให้น้ำท่วมประเทศ ทั้งๆ รัฐบาลในขณะนั้นก็เก็บน้ำไว้ 45% อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ในวันนี้รัฐบาลกลับพร้อมที่จะเก็บน้ำในเขื่อน 60%