xs
xsm
sm
md
lg

“สมจิตต์” ร้อง ส.ทนายความ ช่วยฟ้องศาลฟันแดงคุกคามสื่อ ลั่นไม่ถอนคดีแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวการเมืองสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (แฟ้มภาพ)
นักข่าว 7 สีโผล่สภาทนายความช่วยฟ้องประธาน นปช.เพชรบุรี หลังอัยการเมินสั่งฟ้อง ชี้คุกคามสื่อชัด ลั่นไม่ถอนฟ้องแน่ ด้านนายกสภาฯ รับลูกพร้อมตั้งคณะทำงานศึกษาข้อกฏหมายก่อนชงศาล รับคนไม่เคารพกฎหมายปัญหาใหญ่สังคม ขณะอุปนายกฯ ยันละเมิดชัดเจน ลั่นพร้อมอาสาฟ้องแทนหาก ตร.-อสส.เมินเฉย

วันนี้ (18 เม.ย.) ที่สภาทนายความ เมื่อเวลา 15.30 น. นางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ได้ยื่นคำร้องต่อนายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการยื่นฟ้องนางสาวพรทิพย์ ปักษานนท์ ประธาน นปช.เพชรบุรี ต่อศาล หลังจากที่พนักงานสอบสวนและอัยการสั่งไม่ฟ้องในคดีที่นางสาวพรทิพย์ส่งอีเมลข่มขู่นางสาวสมจิตต์ไปยังเครือข่ายคนเสื้อแดง

โดยนายสักกล่าวว่า ทางสภาทนายความยินดีที่จะดำเนินคดีเรื่องนี้ให้แก่ผู้เสียหาย เพราะเป็นคดีที่สื่อมวลชนถูกคุกคามโดยตั้งใจจะทำให้เป็นคดีตัวอย่าง ซึ่งจะได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพื่อเป็นตัวแทนนางสาวสมจิตต์ยื่นเรื่องฟ้องศาลต่อไป

“ปัญหาของสังคมไทยคือคนไม่เคารพกฎหมาย และคนที่ได้รับความเสียหายก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้ เช่น บางกรณีตำรวจถูกย้ายโดยไม่เป็นธรรมเพราะไปบังคับใช้กฎหมายกับผู้มีอิทธิพล ทางสภาทนายความก็ยืนยันว่าสามารถดำเนินการทางปกครองด้วยการฟ้องต่อศาลปกครองได้ แต่ก็ไม่มีตำรวจกล้าที่จะต่อสู้เพื่อรักษากฎหมาย เหมือนกับกรณีการวิสามัญฆาตกรรมกรณีโจ ด่านช้าง มีการยื่นฟ้องโดยสภาทนายความให้ความช่วยเหลือแต่สุดท้ายผู้เสียหายแอบไปถอนฟ้องเพราะถูกข่มขู่ การคุกคามสื่อมวลชนเป็นเรื่องสำคัญถ้าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้จนสื่อเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าเสนอข่าวย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนในการรับรู้ข่าวสารด้วย จึงยินดีที่นางสาวสมจิตต์ไว้ใจให้สภาทนายความดำเนินการในเรื่องนี้ให้ เพราะเดี๋ยวนี้สังคมเราขาดคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม” นายสักกล่าว

ด้านนายเกรียงศักดิ์ วรมงคลชัย อุปนายกฝ่ายปฏิบ้ติการสภาทนายความ กล่าวว่า หลังจากรับคำร้องแล้วจะตั้งคณะทำงานให้ไปศึกษาข้อเท็จจริง ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่าเข้าข่ายกรณีละเมิดชัดเจนโดยมีความผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์มาตรา 420 และกฎหมายอาญามาตรา 392 ซึ่งจากพฤติการณ์ทั้งหมดเชื่อได้ว่านางสาวพรทิพย์มีเจตนาข่มขู่ให้นางสาวสมจิตต์เกิดความหวาดกลัว โดยใช้ถ้อยคำว่า “จำหน้าหล่อนไว้นะครับ เจอหน้าที่ไหนช่วยจัดให้ด้วยนะครับ” ทั้งนี้ จะให้คณะทำงานศึกษาด้วยว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดอื่นหรือไม่เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป โดยเบื้องต้นจะติดต่ออัยการขอสำนวนประกอบการดำเนินคดีด้วยตนเอง หลังจากศึกษารายละเอียดทั้งหมดคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่เกิน 1 เดือนน่าจะยื่นฟ้องต่อศาลได้ เว้นแต่มีประเด็นเพิ่มเติมก็อาจขยายเวลาออกไป โดยจะมอบให้ นายอุทัย ไสยสาลี หัวหน้าฝ่ายสำนักงานคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และว่าที่ ร.ต.กิตติชัย สุดเอียด ทนายความอาสา ร่วมกันดำเนินการในคดีนี้

“เหตุผลที่สภาทนายความรับทำคดีนี้เพราะเป็นการคุกคามสื่อ ถ้าสื่อซึ่งมีหน้าที่เสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชนถูกข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัวได้ ก็จะทำให้ประชาชนถูกปิดหูปิดตา อีกทั้งคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ซึ่งทางสภาทนายความหวังที่จะทำเป็นคดีตัวอย่างให้รัฐธรรมนูญ 2550 มีสภาพบังคับจริงในการคุ้มครองสื่อด้วย การที่ตำรวจและอัยการไม่ฟ้องคดีเป็นการตัดสิทธิทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นธรรม ซึ่งกฎหมายก็เปิดช่องให้ฟ้องเองได้ ทางสภาทนายความอยากจะบอกกับสังคมผ่านการทำคดีนี้ว่า การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่จำเป็นต้องพึ่งเฉพาะพนักงานสอบสวนและอัยการเท่านั้น เพราะเมื่อทั้งสองหน่วยงานนี้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิตามกฎหมายอาญาให้ดำเนินคดีได้ด้วยตนเอง ยังมีสภาทนายความที่เป็นองค์กรวิชาชีพมีทนายอาสาพร้อมช่วยเหลือประชาชนตาม พ.ร.บ.สภาทนายความ” นายเกรียงศักดิ์กล่าว

ด้านนางสาวสมจิตต์กล่าวว่า มีความอุ่นใจมากขึ้นว่าประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมตั้งต้นอย่างตำรวจและอัยการจะไม่สั่งฟ้อง แต่ต้องขอบคุณสภาทนายความที่ช่วยรักษาสิทธิให้ประชาชนในการยื่นฟ้องต่อศาลด้วยตัวเอง ซึ่งจากการที่ได้ปรึกษาเกี่ยวกับข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงกับตัวแทนของสภาทนายความก็พบว่า การทำหน้าที่ของตำรวจมีลักษณะตัดตอนความผิดทางกฎหมาย โดยไม่ยอมรวมเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการส่งอีเมลข่มขู่เข้าไปรวมในสำนวน เช่น การออกแถลงการณ์องค์กรสื่อเรียกร้องให้ยุติการข่มขู่คุกคาม รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่บุกไปช่อง 7 เพื่อขอให้ปลดตนจากการเป็นผู้สื่อข่าว จึงคิดว่าการรวบรวมข้อเท็จจริงได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แตกต่างจากการตัดตอนความจริงที่ตำรวจไม่ยอมนำเรื่องเหล่านี้รวมในสำนวน น่าจะทำให้คดีมีน้ำหนักต่อการพิจารณาคดีของศาลได้ และยืนยันว่าจะดำเนินคดีถึงที่สุดไม่มีการถอนฟ้องแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น